Search this site

Friday 30 December 2016

Reset/ Refresh การใช้งานของ Windows 10 Apps เพื่อเพิ่มพื้นที่ hard disk/ แก้ปัญหาแอพ

สวัสดีครับ เพื่อนๆ ที่ใช้ Windows 10 ซึ่งน่าจะทราบกันแล้วว่าปัจจุบันเราสามารถโหลด/ ซื้อ โปรแกรมและแอพต่างๆ ผ่านทาง Windows Store ได้ การลงโปรแกรมและแอพผ่านทาง Windows store มีข้อดี ดังนี้
  • แอพจะได้รับการอัพเดทอัตโนมัติทันทีที่ทาง developer มี version ใหม่ๆ ออกมาผ่าน Windows store update เราไม่มีทางพลาด feature ใหม่ๆ อีกต่อไป
  • สามารถให้ feedback โดยตรงกับ developer ได้ ไม่ว่าจะเป็น Suggestion หรือ Problem ผ่าน Feedback hub ของ Windows 10 โดยเราสามารถแนบ screenshot หรือ ลองให้ทำอะไรแล้วโปรแกรมมีปัญหาก็ให้มัน monitor แอพนั้นๆ แล้วแนบส่งไปพร้อม feedback ได้เลย ผมเคยทำแล้ว developer อัพเดทแอพแก้ปัญหาให้ได้เร็วมากครับ
  • สามารถ install/ uninstall ได้อย่างหมดจด โดยไม่เหลืออะไรไว้เป็นขยะในคอมของเราเหมือนการ install/ uninstall แบบเดิมๆ
  • และข้อดีล่าสุดที่ Microsoft เพิ่มเข้ามาใน Windows 10 Anniversary update (version 1607) ก็คือ การที่เราสามารถ reset App เพื่อลดการใช้พื้นที่ของแอพที่นานๆ ไปก็จะเก็บข้อมูลไว้จนอ้วน และ/ หรือ แก้ปัญหาแอพที่เราเจอ โดยไม่ต้อง uninstall/ reinstall ได้อีกด้วย
โดยเฉพาะในปัจจุบันที่ Windows Tablet ไม่ว่าจะเป็น Tablet จริงๆ หรือเป็น 2-in-1 นั้นมักจะมีพื้นที่เก็บข้อมูลจำกัด ทำให้คิดว่าวิธีการในการ reset / refresh App จะมีประโยชน์ครับ

การ Reset/ Refresh การใช้งานของ Windows 10 Apps

การ reset/ refresh  สามารถทำได้ตามนี้ครับ ก่อนที่เราจะทำ ผมขอแนะนำล่วงหน้าว่า หากเป็นแอพที่ต้อง login ขอให้มั่นใจว่าเรามี login/ password เตรียมไว้ให้พร้อมครับ เพราะต้อง login app นั้นๆ ใหม่หลังจากทำตามขั้นตอนเหล่านี้ครับ
  1. เข้าไปที่ Settings
  2. เลือก Systems
  3. เลือก Apps and Features
  4. เลือกหา App ที่ต้องการ (กินพื้นที่มากกว่าปกติ หรือแอพที่ทำงานผิดปกติ) แล้วเลือก Advanced option
  5. Windows จะโชว์ขนาดของแอพที่แท้จริง
  6. และแสดงขนาดของข้อมูล (data) ที่เก็บอยู่
  7. หากเราต้องการ reset App ให้เรากด Reset แล้ว Windows จะมีข้อความขึ้นมาเตือนว่า ข้อมูลต่างๆ จะหายหมดนะ ถ้าเราจะไปต่อ เรากด Reset ซ้ำอีกครั้งหนึ่ง
  8. Windows จะทำการลบข้อมูลทั้งหมดทิ้งและ refresh App ของเราใหม่



จะเห็นว่าได้พื้นที่เพิ่มขึ้น 200MB ด้วยวิธีการง่ายๆ ได้ทั้งพื้นที่เพิ่ม และสภาพของแอพของเราจะเหมือนกับตอนที่เราลงใหม่เป๊ะๆ เลยครับ ใครมีปัญาอะไรกับแอพที่อาจจะเสียหายไปก็จะกลับมาสู่สภาพเดิมครับ 

หรือถ้าใครจะใช้วิธีนี้ในการเพิ่ม storage space นั้น อาจจะเพิ่มวิธีการเลือก App ที่จะลบโดยการ Sort by size ของ App ก็จะช่วยให้เราหาเป้าหมายได้ง่ายขึ้น

หลังจากลบแล้ว ลองเปิด App ดูใหม่ก็จะพบว่าเป็นอย่างนี้ครับ เหมือนใหม่เลย


หมายเหตุ: เพิ่มเติมจากบทความนี้ หลายคนอาจนึกถึง Disk Clean-up ซึ่งเป็นโปรแกรมที่ติดมากับ Windows ซึ่งก็สามารถใช้ในการเพิ่มพื้นที่เก็บข้อมูลได้ดีเช่นกันครับ

Sunday 25 December 2016

การเปลี่ยน Windows 10 ให้เป็น Dark Mode


สวัสดีครับ ในช่วงวันหยุดนี้ผมขอแนะนำ how-to ง่ายๆ สำหรับเพื่อนๆ ที่ใช้ Windows 10 Anniversary Update (หรือที่หลายคนรู้จักกันในนาม version 1607) และรู้สึกว่าอยากให้ Windows 10 ของเรานั้นสุขม นุ่มลึก น่าค้าหาเพิ่มขึ้น ใน version นี้ Microsoft ได้เพิ่ม feature ที่หลายๆ คนร้องขอมา (ส่วนมากอาจจะเป็นในต่างประเทศ) นั่นก็คือ Dark Theme นั่นเองครับ

วิธีการปรับ Dark Theme ง่ายๆ ทำได้ดังนี้
  1. เข้าไปที่ Settings
  2. เลือก Personalisation
  3. เลือก Colours
  4. เลือก Choose your app mode ให้เป็น "Dark"

นี่เป็นตัวอย่างของหน้าจอทั้งสองแบบครับ



ข้อดีของ Dark Theme (อันนี้อาจจะแล้วแต่บุคคลเล็กน้อยนะครับ) คือ
  1. ถนอมสายตา โดยเฉพาะเวลาใช้งานในห้องที่มีความสว่างไม่มากนัก
  2. รูปภาพต่างๆ แสดงผลได้ชัดเจนมาก
  3. หน้าจอ IPS, LED ปัจจุบันแสดงผลสีดำได้ดำสนิทมากขึ้น ทำให้ดูแล้วเนียนตา
  4. ประหยัดพลังงาน โดยเฉพาะกับ Tablets, Ultrabooks ที่บาง บ๊าง บาง จนมีพื้นที่ใส่แบตเตอรี่น้อยนิด
ใช้โหมดไหนแล้วชอบมากกว่ากันครับ ^_^

Sunday 18 December 2016

อัพเกรด Windows 10 จาก 32-bit เป็น 64-bit

สำหรับคนที่มี Windows 10 แบบ 32-bit จะด้วยสาเหตุอะไรก็ตามแต่ เช่น เป็นการอัพเกรดจาก Windows 7 หรือ 8.1 ที่เป็น 32-bit ในช่วง free upgrade และอยากจะอัพเกรดเป็นเวอร์ชั่น 64-bit ซึ่งจริงๆ แล้วถ้าเราใช้ Activated copy of Windows 10 (หรือ Windows 10 ของแท้นั่นเอง) เราจะสามารถ upgrade ได้ฟรีครับ ซึ่ง
จะต่างจากการ upgrade จาก Windows 10 Home เป็น Windows 10 Pro ซึ่งมีค่าใช้จ่าย วันนี้ผมเลยเอาวิธีมาฝากครับ

เช็คว่า Windows ของเราเป็น 32-bit หรือ 64-bit

เราสามารถดูได้อย่างง่ายๆ ว่า Windows 10 ของเรานั้นเป็น 32-bit หรือ 64-bit สามารถตรวจสอบได้ง่ายๆ ดังนี้ครับ
  1. เข้าไปที่ Settings
  2. เลือกเมนู Systems
  3. เลือกเมนู About
  4. ดูที่ System type ว่าเป็น 32-bit หรือ 64-bit

ถ้าเป็น 64-bit operating system แบบในรูป ก็คือไม่ต้องทำอะไรแล้วครับ เพราะเป็น 64 bit อยู่แล้ว แต่ถ้ามันเขียนว่า 32-bit operating system ก็แสดงว่าระบบของเราเป็นแบบ 32 bit ครับ

ประโยชน์ของ Windows 10 64-bit

แม้ว่า 32-bit และ 64-bit Windows 10 จะมี features ต่างๆ ที่เหมือนกันทุกประการ แต่ Windows 10 64-bit ก็จะมีข้อได้เปรียบที่สำคัญในเรื่องของ Productivity เช่น ระบบ 64-bit จะไม่มีข้อจำกัดเรื่องใช้งาน RAM ได้มากสุด 3.5 GB อย่างของ 32-bit ซึ่งจะทำให้คอมพิวเตอร์ที่มี RAM 4 GB ขึ้นไปสามารถทำงานได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการเปิดโปรแกรม (แอพ) ต่างๆ ได้พร้อมๆ กันมากขึ้น พวก Browser เช่น Edge, Chrome, Firefox, Opera จะสามารถเปิดหลายๆ tab ได้พร้อมกันมากขึ้น นี่ไม่ต้องพูดถึงโปรแกรมหนักๆ อย่าง AutoCAD, Photoshop, หรือพวกโปรแกรมตัดต่อวีดีโอทั้งหลาย ที่ต้องใช้ RAM มหาศาล

ขั้นตอนการอัพเกรดโดยสรุป

จริงๆ แล้วการอัพเกรดจาก 32-bit เป็น 64-bit นั้นไม่มีทางเลือกอื่นนอกจาก clean install ครับ (อันนี้เป็นมานานแล้ว ไม่ได้เป็นเฉพาะ Windows 10 นะครับ) โดยมีขั้นตอนดังนี้
  • ตรวจสอบว่าคอมพิวเตอร์ของเราเข้ากันได้กับ Windows 10 64-bit
  • สร้าง Windows 10 installation media
  • ติดตั้ง Windows 10 64-bit

ตรวจสอบว่าคอมพิวเตอร์ของเราเข้ากันได้กับ Windows 10 64-bit

ด้วยวิธีการเดียวกับข้างบน เราจะสามารถทราบได้ว่า CPU ของเราเป็น 64-bit CPU หรือไม่ ตามรูปด้านล่างนี้ครับ



ถ้าตรวจ system type ระบุว่าเป็น x64-based processor ก็แสดงว่า CPU ของเราสามารถของรับ 64-bit ได้ครับ

ซึ่งการตรวจสอบอย่างง่ายนี้เพียงพอแล้วสำหรับ CPU รุ่นที่ค่อนข้างใหม่ อย่างไรก็ตาม หากคิดว่า CPU ค่อนข้างเก่า และอยากตรวจสอบอย่างละเอียดเพิ่มเติม จะต้องตรวจสอบ function (1) Physical Address Extension (PAE); (2) No-eXecute (NX); (3) Streaming SIMD Extensions 2 (SSE2); (4) CMPXCHG16b (CX16) เหล่านี้ด้วยโปรแกรม Coreinfo ซึ่งสามารถโหลดได้จากเว็บของ Microsoft ครับ

โดย Coreinfo นี้จะต้องรันจาก Command prompt นะครับ ถ้ารันแล้วพบว่ามี function ทั้ง 4 ข้างต้นก็แสดงว่า CPU ของเรารองรับ 64-bit ครับ

นอกจากนี้พวก drivers ต่างๆ ก็ควรตรวจสอบให้เรียบร้อยด้วยนะครับว่ามี 64-bit drivers หรือไม่ เพราะ 32-bit drivers ที่มีอยู่เดิมจะไม่สามารถใช้งานได้อีกต่อไป

สร้าง Windows 10 installation media

เมื่อเราพร้อมแล้ว ก่อนอื่น ผมแนะนำเป็นอย่างยิ่งว่านี่คือการ Clean install Windows ซึ่งจะไม่มีอะไรเหลืออยู่เลยนะครับ ดังนั้น ผมแนะนำให้ทำ Full backup ของ Windows 10 ไว้ก่อน ซึ่งหากไม่ทราบวิธีการ ไว้ผมมาลงรายละเอียดให้เป็นหัวข้อต่างหากนะครับ

นอกจากนี้ ผมอยากให้ลองตรวจสอบซ้ำอีกครั้งว่า Windows ของเรา activated แล้วหรือยังนะครับ เข้าไปดูได้ที่ Settings > Update & Security > Activation

การสร้าง Windows 10 installation media มีขั้นตอนดังนี้ครับ
  • ใช้ USB drive ที่มีขนาดอย่างน้อย 4 GB
  • เข้าเว็บไปที่ Windows 10 download page
  • เลือก Download tool now

  • จากนั้นก็เปิดไฟล์ขึ้นมาแล้วเลือก "Create installation media for another PC"
  • จากนั้นจะมีหน้าที่บอกว่า Use the recommended options for this PC ให้ tick ออกนะครับ แล้วระบุภาษา version และอันนี้สำคัญ เลือก "64-bit (x64)" ครับ
  • เลือก USB flash drive
  • จากนั้นเราจะได้ USB flash drive ที่สามารถลง Windows 10 64-bit ให้เราได้แล้วครับ

ติดตั้ง Windows 10 64-bit

ตอนนี้เราก็พร้อมที่จะลง Windows 10 กันแล้ว ผมขอเน้นย้ำเรื่อง full backup และ activated licence อีกครั้งนะครับ ส่วนวิธีติดตั้งก็ทำตามการทำ clean install Windows ปกติครับโดยมีวิธีสรุปได้ดังนี้ครับ
  • Restart เครื่องและบูทโดยใช้ USB flash drive ที่เตรียมไว้
  • เลือก install now
  • จุดสำคัญสำหรับคนไทยเราคืออันนี้ครับ หากเราเคย activate Windows ไว้แล้วเราจะไม่ต้องใส่ product key ใหม่ครับ สามารถ skip ได้เลย
  • จากนั้นเลือก "Custom: Install Windows Only (advance)"
  • เลือก partition ที่เราต้องการลง Windows (อันเดิมนั่นล่ะ) แล้วเลือก delete system ของเดิมทิ้งไป
  • จากนั้นปล่อยให้มันลง Windows จนเสร็จ
  • เข้าไป update Windows ให้เป็น version ปัจจุบัน รวมถึง Drivers ต่างด้วย
  • restore files ส่วนตัวของเราจาก backup ที่เราเก็บไว้

ลองดู Windows 10 บน Lazada

ขอบคุณสำหรับการติดตามอ่านครับ มีความเห็นอย่างไรก็ฝากไว้ได้นะครับ

Sunday 11 December 2016

Night Cam - HDR mode - แอพกล้องขั้นเทพสำหรับ Windows 10 Mobile

วันนี้ขอ review แอพ Night Cam For Windows 10 mobile ซึ่งผมประทับใจมากขึ้นๆ ทุกครั้งที่ใช้มันครับ สรุปคร่าวๆ มีดังนี้

ข้อดี

  • HDR mode ทำงานได้ดีมาก เหมาะกับ Lumia ที่ไม่ใช่รุ่นเรือธง (flagship) ทั้งหลายที่มีปัญหากับ HDR mode ของ Windows Camera
  • โหมด non HDR ถ่ายเก็บ contrast ได้ดีกว่า Windows Camera
  • มี shake indicator ทำให้รู้ว่าขณะนั้นกล้องสั่นไหวมากน้อยขนาดไหน ถ้าสั่นน้อย แถบจะเขียว สั่นมากแถบจะแดงๆ ช่วยให้การถ่ายรูปในที่แสงน้อยมีความมั่นใจได้มากขึ้นว่าภาพที่ถ่ายออกมานั้นไม่เบลอ
  • แอพไม่แต่งรูปมากเกินไป ได้รับการยอมรับจากเว็บ stock photos

ข้อเสีย

  • ไมมี RAW mode ให้เลือก (DNG/ TIFF)
  • ไม่มีการระบุ location tracking ลงไปใน JPG
สามารถเข้าไปโหลดแอพได้ที่นี่ครับ https://www.microsoft.com/en-us/store/p/night-cam/9nblggh4s91f

ก่อนอื่นเลย บทความนี้เป็น Customer Review [CR] นะครับ ผมเองไม่ได้มีส่วนได้เสียกับแอพนี้แต่อย่างใด

แอพ Night Cam นี้ เป็นแอพเฉพาะทางสำหรับคนที่ต้องถ่ายภาพในโหมดแสงน้อย ซึ่งแอพจะถ่ายภาพโดยใช้ Night mode อัตโนมัติ เพื่อให้สามารถเปิดชัตเตอร์นานกว่าการถ่ายโดยไม่ใช้ night mode โดยทั่วไป

นอกจากนี้ใน version ล่าสุด แอพนี้ได้พ่วง HDR mode เข้ามาด้วยสำหรับการถ่ายภาพที่แสงไม่เอื้ออำนวย เช่นช่วงพระอาทิตย์ตกดิน ซึ่ง HDR mode นี่เองที่ผมจะนำมาเป็น highlight ของการ review ในครั้งนี้

HDR mode สำหรับ Lumia นั้น มีมานานแล้วครับ ส่วนใหญ่จะมาคู่กับรุ่นที่สูงๆ หน่อย และก็ทำงานได้ดีในสมัย Windows Phone 8.1 แต่พอ Microsoft upgrade มาเป็น Windows 10 mobile นั้น HDR mode ทำงานได้แย่ลงครับ ส่วนใหญ่จะถ่ายได้แค่ทีละรูปและจะต้องรอทำงานเสร็จก่อน (ไม่งั้นมันจะขึ้น 'Saving') ทำให้น่ารำคาญใจยิ่งนัก เหตุผลก็คือ HDR mode ของ Windows Camera จะเก็บ exposure ไว้หลายแบบมาก ทำให้เราสามารถปรับ exposure ของรูปในภายหลังได้ ซึ่งที่ผมเล่ามานี้ คือความรำคาญใจของคนใช้มือถือรุ่นใหญ่ๆ อย่าง Lumia 950/ 950XL นะครับ สำหรับรุ่นเล็กๆ ที่มี HDR มาด้วยนี่มันแทบจะไม่สามารถใช้การได้เลยใน Windows 10 mobile จะขึ้นว่า error ตลอด สรุปแล้ว HDR mode เป็นจุดที่เป็นจุดอ่อนหนักมากสำหรับมือถือที่เน้นกล้องเป็นจุดขายอย่าง Microsoft Lumia

นี่เอง ที่ทำให้ผมลองเสาะหาใช้แอพอย่าง Night Cam เพื่อมาใช้กับ Lumia 640 LTE ของผม และผมพบว่ามันให้ผลลัพธ์ที่ดีมากๆ ครับ

App User Interface

Night Cam User Interface
ขอเริ่มจาก User Interface (UI) ของแอพที่เห็นจาก Lumia 640 LTE ก่อนนะครับ User Interface ของกล้อง Night Cam ถือว่ามีเอกลักษณ์ดีครับ ปุ่มชัตเตอร์เป็นสี่เหลี่ยมกดง่ายดี พวก manual settings ค่อนข้างเข้าใจง่าย และอยู่แยกกันชัดเจน แถบเขียวๆ ด้านบนคืออัตราการสั่นครับ แบบที่เห็นในภาพ คือสั่นเล็กน้อยแต่ยังรับได้ (ยังเขียวอยู่) คือถ้ากดชัตเตอร์ก็จะภาพชัดพอสมควร แต่ถ้ามากกว่านี้ แถบนี้จะกลายเป็นสีแดง แสดงว่าถ้ากดชัตเตอร์ภาพจะเบลอๆ ครับ สำหรับ user ทั่วไปอย่างผม UI แบบนี้ชัดเจนและใช้ง่ายดีครับ

HDR mode

ภาพถ่ายที่มีแสงต่างกันมากๆ อย่าง indoor + outdoor นั้น มันค่อนข้างยากที่จะหา balance ที่ดีได้ ถ้าเน้นแสงของ outdoor ส่วน indoor ก็จะมืดไป แต่ถ้าเน้นแสง indoor ส่วน outdoor ก็จะ blown out ขาวจั๊วะไปเลยมองไม่เห็นรายละเอียดอะไร ซึ่ง HDR mode นั้นจะช่วยให้เราสามารถเห็นรายละเอียดได้ทั้ง indoor และ outdoor ครับ

ภาพนี้ เป็นภาพที่จงใจเลือก (ไม่เน้นภาพสวย :D) เพื่อแสดงการถ่ายภาพที่มีแสงทั้ง indoor และ outdoor แบบ extreme ความเข้มแสงต่างกันมากๆ โดยภาพแรกเป็นภาพที่ถ่ายด้วย Windows Camera, auto mode, HDR off โดยเลือก focus ไปที่ ภายในบ้าน ครับ
Windows Camera, HDR off
จะเห็นได้ว่า Windows Camera จะปรับแสงเน้นภายใน แต่ก็ไม่ได้สว่างมากนัก ส่วน outdoor นั้น รายละเอียดทั้งหลายสว่างจนหายไปหมดเลยครับ แสดงว่า Windows Camera ใน auto mode นี้ยังพยายามปรับแสงทั่วๆรูปภาพอยู่แม้ว่าจะเลือกให้โฟกัสไปที่ indoor แล้วก็ตาม เลยทำให้ออกมาครึ่งๆ กลางๆ แบบนี้ครับ โดยรวมแล้วผมไม่พอใจ Windows Camera เอามากๆ ผมไม่ขอ review HDR mode ของ Windows Camera นะครับ เพราะมันเจ๊ง!!

ภาพต่อไปเป็นการถ่ายด้วย auto mode, HDR off ของแอพ Night Cam ครับ

Night Cam - HDR off
ด้วยการที่ Night Cam จะเปิด Night mode เป็น auto อยู่แล้วทำให้ภาพ indoor จะสว่างกว่า Windows Camera อยู่เล็กน้อย แต่ที่น่าสนใจคือ แม้ว่าภายในจะดูสว่างกว่า แต่รายละเอียด outdoor นั้นไม่ได้ถูก blown out ไปเหมือนกับ Windows Camera ถือว่า Night Cam ทำได้ดีกว่าในโหมด HDR off ทั้งคู่ครับ

ส่วนภาพต่อไปเป็นการถ่ายด้วย auto mode, HDR on ของแอพ Night Cam ครับ

Night Cam - HDR on
จะเห็นว่าการใช้ HDR mode ที่ประสบความสำเร็จนี้จะช่วยให้รายละเอียดของทั้ง indoor และ outdoor ถูกถ่ายทอดออกมาได้อย่างสวยงามมากขึ้น กลายเป็นเหมือนว่าความสว่างของ indoor และ outdoor ไม่ได้ต่างกันมาก มีจุดที่น่าสังเกต คือ noise ของ indoor ที่สูงขึ้นเยอะมาก (เป็นเรื่องปกติของการถ่ายภาพแสงน้อยด้วย ISO สูง จึงอาจต้องลด noise ด้วย Adobe Photoshop Express เป็นต้น) แสดงว่า Night Cam HDR ใช้วิธีการแบ่งภาพเป็นส่วนๆ และเลือกถ่ายด้วยความเร็วชัตเตอร์และ ISO ที่ต่างกันเพื่อสร้างภาพที่สวยงามขึ้นได้อย่างที่เห็น

IMAGINE WHAT YOU WILL DO

จากกรณีข้างต้น จะเห็นได้ว่าโหมด HDR ของ Night Cam App นี้ เราสามารถจะนำไปใช้ได้กับการถ่ายภาพในกรณีประมาณนี้ครับ
  • ภาพที่มีเงาร่มไม้บางส่วนของภาพ
  • ภาพที่คนยืนอยู่ในร่ม แต่พื้นหลังเป็นแดดจัด (โปรดระวัง noise)
  • ภาพย้อนแสง
  • ถ่ายภาพจากภายในบ้านที่ต้องการให้เห็นรายละเอียดภายนอกบ้านด้วย (เพื่อลด noise ควรทำให้ indoor สว่างๆ หน่อยนะครับ)
  • และอื่นๆ อีกมากมาย

Paid App

อีกจุดหนึ่งที่ไม่เขียนไม่ได้ คือ Night Cam เป็น Paid App ครับ แต่ผมเองสนับสนุนให้สนับสนุนผู้ทำ App นี้ เพราะเป็นแอพถ่ายภาพที่ให้ผลลัพธ์ดีมาก แลกกับราคาประมาณ 59-69 บาท (จำราคาแน่นอนไม่ได้แล้วครับ ซื้อมาสักพักแล้ว) นั้นไม่แพงเลยครับ ถูกกว่ากาแฟ 1 แก้ว หรือเค้ก 1 ชิ้น ของบางร้านซะอีก ผู้พัฒนาแอพเองก็มีค่าใช้จ่ายและจะได้พัฒนาแอพนี้ให้ดียิ่งๆ ขึ้นไปได้อีกครับ

สุดท้ายนี้ อยากบอกว่า แอพนี้เหมาะกับ Windows 10 mobile users ทุกคนที่ไม่สามารถใช้ HDR mode ของ Windows Camera ได้ หรือได้แต่ไม่มีประสิทธิภาพ รวมถึงคนที่ถ่ายภาพในที่แสงน้อยบ่อยๆ การที่มี shaking indicator ก็จะช่วยได้มากจริงๆ ครับ

สามารถเข้าไปซื้อและโหลดแอพได้ที่นี่เลยครับ
https://www.microsoft.com/en-us/store/p/night-cam/9nblggh4s91f

Saturday 10 December 2016

ตรวจสอบ specification ของคอมพิวเตอร์ที่ใช้ Windows 10

สวัสดีครับ เคยสงสัยกันไหมครับว่าคอมพิวเตอร์ที่เราซื้อมาหรือใช้อยู่นั้น มีอะไรอยู่ข้างในบ้าง เอาจริงๆ หลายๆ คนแทบจะไม่เคยรู้ด้วยซ้ำว่าข้างในคอมพิวเตอร์นั้นๆ มีอะไรอยู่บ้าง หรือบางคนอาจจะเริ่มอยากรู้ก็ต่อเมื่อคอมพิวเตอร์ของตัวเองมีปัญหาใช้งานไม่ได้ดั่งใจ หรือบางคนที่ซื้อคอมประกอบมาอาจจะอยากเช็คว่าส่วนต่างๆ ที่ซื้อมานั้น เหมือนกับสิ่งที่ตนสั่งซื้อมาจริงๆ หรือเปล่า

Windows 10 Desktop

ใน Windows 10 นั้น เราสามารถเช็ค system information, ข้อมูล BIOS, รุ่นของคอมพิวเตอร์, CPU, ฮาร์ดดิสก์, การ์ดจอ, ระบบปฏิบัติการ และอื่นๆ อีกมาก แถมมีวิธีเช็คตั้งหลายวิธีแน่ะ เรามาเริ่มกันเลยครับ

Note: Guide ฉบับนี้จัดทำโดยใช้ Windows 10 Home, Build 14393.447

วิธีแรก ตรวจสอบผ่าน Settings app

เบสิกที่สุด และเหมาะสำหรับผู้ใช้งานทุกระดับ ทำได้ง่ายๆ ดังนี้ครับ
  1. ไปที่ Settings
  2. เลือก Systems
  3. เลือก About
System info from Settings app


วิธีการนี้จะโชว์ข้อมูลสำคัญ คือ CPU, RAM, ชื่อของเครื่อง, ประเภทของ Windows 10, Version, และ Build number

หมายเหตุ วิธีการนี้จะแสดงผลคล้ายๆ กับ Control Panel > system ใน Windows 7 ครับ (แต่ใน Windows 10 ก็ยังทำได้อยู่นะครับ)

วิธีที่สอง ตรวจสอบผ่าน System Information

วิธีนี้เป็นที่นิยมของเหล่าผู้ซื้อคอมประกอบครับ เพราะจะเห็นรายละเอียดมากมายก่ายกองเหมือนที่ผมเขียนไว้ข้างต้น แต่ทำได้ง่ายๆ เช่นกัน ดังนี้
  1. ไปที่ search bar (หรือ Cortana)
  2. พิมพ์ system information
  3. หากต้องการจัดทำ complete system report ให้เลือก File > Export แล้วเก็บไว้ในที่ปลอดภัยเผื่อ Boot ไม่ขึ้น (เช่น external storage/ OneDrive) โดยจะเซฟไว้เป็น .txt file

วิธีที่สาม ตรวจสอบผ่าน Command prompt

แม้จะดูล้าสมัย แต่กับ IT pro แล้ว ยังไงมันก็ให้ข้อมูลที่บางครั้งหาไม่ได้จากที่อื่น วิธีการก็ไม่ยากครับ ประมาณนี้
  1. ไปที่ search bar (หรือ Cortana)
  2. พิมพ์ Command prompt
  3. คลิกขวา เลือก Run as Administrator
  4. ในหน้าจอ command prompt พิมพ์ว่า "systeminfo"
แค่นั้นครับ

วิธีอื่นๆ เช่น ตรวจสอบผ่าน DirectX Diagnostic tool

อันนี้น่าจะเป็นของชอบของ Gamers ทั้งหลายกับการตรวจสอบผ่านวิธีนี้ ทำได้ดังนี้ครับ
  1. ไปที่ search bar (หรือ Cortana)
  2. พิมพ์ dxdiag
DXDIAG

หวังว่า Guide นี้จะมีประโยชน์นะครับ