Search this site

Sunday 12 November 2017

ทำความรู้จักกับ Intel Optane Memory


สวัสดีครับเพื่อนๆ เร็วๆ นี้ Intel ได้เปิดตัวหน่วยความจำแบบใหม่ที่พัฒนาขึ้นเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของ PC ของเรา โดยเรียกชื่อหน่วยความจำนี้ว่า Intel Optane Memory ซึ่งหลายๆ คนคงไม่ค่อยเข้าใจว่า มันคืออะไร และเราจะใช้ประโยชน์จากมันได้อย่างไร วันนี้เราจะมาตอบคำถามนี้กันครับ



Intel Optane Memory คืออะไร

Intel Optane Memory นั้น ไม่ใช่หน่วยความจำ RAM, ไม่ใช่ Harddisk, และ ไม่ใช่ SSD แม้จะติดตั้งในช่อง M.2 เหมือน SSD ก็ตาม

อ้าว แล้ว Intel Optane Memory นี่มันคืออะไร?

Intel Optane Memory คือ หน่วยความจำที่ช่วยเร่งความเร็วให้คอมพิวเตอร์ครับ (เปรียบเหมือนเทอร์โบในรถยนต์นั่นเอง) โดยทำหน้าที่เป็น Buffer ระหว่าง CPU และ Harddisk โดยจะช่วยอ่านข้อมูลจาก Harddisk มาเก็บไว้ที่ตัวเองก่อน เมื่อ CPU ต้องการ ก็สามารถป้อนข้อมูลให้ได้ทันที ซึ่งจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของ Harddisk ซึ่งแม้จะมีความจุมาก แต่ส่งข้อมูลได้ช้านั่นเอง

ตามที่กล่าวมาข้างต้น เดาได้ไม่ยากเลยว่า Intel Optane Memory นี้ มีความเร็วในการทำงานสูง แต่มีความจุไม่มาก แค่ 16/ 32 GB ซึ่งว่ากันจริงๆ แล้ว มันมากเพียงพอที่จะช่วยโหลดงานทั่วๆ ไปในชีวิตประจำวัน ไม่ว่าจะเป็นงาน MS Office หรืองานตัดต่อตกแต่งภาพต่างๆ โดยเจ้า Intel Optane Memory นี้จะเรียนรู้พฤติกรรมการใช้งานของเรา และจะดึงข้อมูลที่เราต้องการมาเก็บไว้กับตัวล่วงหน้า และจะส่งข้อมูลให้กับ CPU ได้อย่างรวดเร็วเมื่อต้องการ ซึ่งก็จะทำให้ PC ของเราทำงานได้รวดเร็วขึ้นนั่นเอง

สรุปก็คือ Intel Optane Memory เป็นทางเลือกหนึ่งในการเพิ่มประสิทธิภาพของ PC ที่ต้องการพื้นที่เก็บไฟล์มากๆ แต่ไม่ต้องการใช้ SSD ที่มีความจุสูงๆ เนื่องจากราคามันแพงม๊ากมาก นั่นเอง



Intel Optane Memory ทำอะไรได้บ้าง

ตัวอย่างความสามารถของ PC ที่มี Intel Optane Memory เป็นเทอร์โบ ที่ Intel เคลมว่าสามารถทำได้ ก็มีประมาณนี้ครับ

ช่วยงานในชีวิตประจำวัน

  • ตอบสนองงานทั่วไปได้เร็วกว่า 2 เท่า
  • Word, Excel, PowerPoint พร้อมทำงานในพริบตา
  • ใช้ Email ได้เร็วยิ่งขึ้น
  • เปิด Browser ได้เร็วขึ้น 5 เท่า

สำหรับคนรักการถ่ายภาพ/ กราฟฟิกดีไซน์เนอร์

  • อ่านภาพได้เร็วทันใจ
  • Photoshop, Illustrator รวดเร็ว ตกแต่งภาพได้ลื่นไหล ไม่กระตุก
  • สุดคุ้มค่าเมื่อใช้งานกับ Harddisk ความจุูสูงๆ
  • เปิดไฟล์ขนาดใหญ่ได้รวดเร็ว พร้อมให้คุณตกแต่งงานได้ทันที งานเสร็จเร็ว มีเวลามากขึ้น

ช่วยให้เกมเมอร์เล่นเกมได้เร็วขึ้น

  • โหลดเกมรวดเร็วเพิ่มขึ้น 67%
  • ไม่ต้องเสียเวลารอการโหลดเกมระหว่างเล่น
  • ได้เปรียบทำแต้มต่อ เพราะไม่ต้องรอโหลดเกมนานๆ

ช่วยให้ความบันเทิงลื่นไหล

  • โหลดวีดีโอ 4K หรือไฟล์สื่อขนาดใหญ่ๆ ได้อย่างรวดเร็ว
  • การรับชมผ่านเครื่องคอมศูนย์กลางภายในบ้านทำได้ลื่นไหล ต่อเนื่อง
อย่างไรก็ตาม รายการข้างต้นนี้เป็นเรื่องที่ Intel เคลมมานะครับ ผลที่ได้อาจต่างกันไป ผมแนะนำให้ใช้วิจารณญาณในการอ่านด้วยครับ ฮา...

อยากใช้ Intel Optane Memory จะต้องทำอย่างไร

สิ่งที่ควรระวังเลยนะครับ คือ Intel Optane Memory นี่สามารถใช้งานได้กับ PC รุ่นใหม่ๆ เท่านั้น โดยการใช้งานนั้น จะต้องมี
  • Intel Core Processors Gen 7 ขึ้นไป
  • Mainboard ที่ใช้ Chipset Series 200 ขึ้นไป
  • Harddisk Drive
  • Intel Optane Memory ขนาด 16/ 32 GB


อ้างอิง: Intel Optane Memory pamphlet

Saturday 14 October 2017

สิ่งที่ควรทำหลังจากซื้อ Windows 10 laptop/ notebook/ desktop เครื่องใหม่

แม้ว่าการตัดสินใจเลือกซื้อ laptop/ notebook/ desktop เครื่องใหม่นั้นจะสำคัญมาก - สำหรับคำแนะนำในการเลือกซื้อที่ผมเคยเขียนไว้ ก็ประมาณนี้ครับ
- การเลือก Laptop/ Notebook สำหรับเรียนมหาวิทยาลัย>>
- ทำความเข้าใจกับ Intel Core i3, Core i5, Core i7 ว่าจะเลือกใช้อะไรดี>>
และหากใครที่ซื้อ laptop/ notebook/ desktop ที่ไม่มี Windows 10 ติดมาด้วยนั้น สามารถพิจารณาเลือกซื้อ Windows 10 ได้ตามนี้ครับ
- Windows 10 Home/Pro และ OEM/FPP เลือกแบบไหนดี >>

อย่างไรก็ตาม สิ่งที่สำคัญไม่แพ้กันเลย นั่นคือการทำให้ "สามารถดึงเอาความสามารถของ Windows 10 ออกมาได้อย่างเต็มที่" ด้วย step ง่ายๆ แบบนี้ครับ

(หมายเหตุ นี่เป็นวิธีการขั้นพื้นฐานที่ควรทำสำหรับผู้ใช้งานทั่วไปนะครับ สำหรับผู้ใช้งานที่มีความชำนาญอยู่แล้ว อาจจะมีวิธีการที่แตกต่างกัน อันนั้นก็เป็นอีกเรื่องที่นอกเหนือจากบทความนี้นะครับ)


การลงชื่อเข้าใช้ด้วย Microsoft Account

Windows 10 นั้นเป็นระบบปฏิบัติการแบบ Hybrid ครับ มันรองรับทั้งการใช้งานแบบเก่า ที่เราแทบจะไม่ต้องไปยุ่งอะไรกับ User Account เลย ตั้งไว้อย่างไรก็ได้ และการใช้งานแบบใหม่ที่คล้ายกับการใช้งาน Phone, Tablet นั่นก็คือการลงทะเบียน laptop/ notebook/ desktop ของเรา ไว้กับ Microsoft Account เพื่อสิทธิประโยชน์ต่างๆ เหล่านี้
  • ผูก Windows licence ของเราไว้กับ Microsoft Account ตามภาพด้านล่างเลยครับ ซึ่งหากมีการซ่อมแซมเครื่อง ไม่ว่าจะเป็น การเปลี่ยน Internal Storage Drive, การ format ลง Windows ใหม่ เป็นต้น ก็จะทำให้เราสามารถ activate Windows licence ได้ทันทีโดยไม่ต้องมานั่งหา Product Key มาพิมพ์ เพียงแค่ Login ด้วย Microsoft Account หลังจากลง Windows เสร็จเท่านี้ก็เรียบร้อย
  • สามารถ Download หรือ Purchase Apps ต่างๆ จาก Store ได้ ซึ่งนี่เป็นส่วนที่ทำให้ Windows 10 นั้นทำงานคล้าย Phone, Tablet นั่นเอง พวก App ที่มาจาก Windows store นี้จะมีข้อดี คือ ไม่ทำให้ Windows 10 ช้าลงเมื่อใช้งานไปนานๆ และสามารถ Install/ Uninstall/ Reinstall ได้หมดจด ไม่เหลือไฟล์ใดๆ เอาไว้ให้รกเครื่อง นอกจากนี้ App เหล่านี้ยังสามารถอัพเดทตัวเองได้โดยอัตโนมัติ
  • สามารถ sync ไฟล์ และ ข้อมูลต่างๆ ที่เราเก็บไว้ใน OneDrive หรือ แอพบางแอพในโทรศัพท์ของเรา (Windows, iOS, หรือ Android ก็ได้) ได้โดยอัตโนมัติ
  • สามารถใช้ Windows Hello ได้จากทุก Windows 10 Device ที่เรามี
วิธีการ Login ด้วย Microsoft Account
  • เข้าไปที่ Settings > Accounts > Your info
  • ถ้าเรายังไม่ได้ทำขั้นตอนนี้ Windows จะมีข้อความขึ้นว่า "Sign in with Microsoft Account instead" ให้คลิกที่ข้อความนี้ แล้วใส่ Microsoft Account ของเราเข้าไป
  • จากนั้น หน้าจอ Your info จะแสดงผลแบบนี้ครับ

การอัพเดท Windows 10 ให้เป็น Version ปัจจุบัน

สิ่งแรกที่ทุกคนควรทำนั้น คือการทำให้ Windows 10 ของเราเป็น Version ปัจจุบันโดยเร็วที่สุด ปัจจุบัน Windows 10 ได้ปรับวิธีการในการ update มาเป็น Incremental updates โดยจะมี Feature update เพื่อเพิ่มฟังก์ชั่นใหม่ๆ ปีละ 1-2 ครั้ง และจะมี Quality update เพื่อแก้ปัญหาและเพิ่มความปลอดภัยอย่างน้อยเดือนละ 1 ครั้ง (รูปแบบนี้ คล้ายกับ iOS, Android ซึ่งเป็นระบบปฏิบัติการมือถือนั่นเอง เพราะ Windows 10 มันเป็นไฮบริดแบบที่กล่าวมาข้างต้นนะครับ)

วิธีการ update Windows ง่ายๆ ก็มีดังนี้
  • เข้าไปที่ Settings > Update and Security > Windows update
  • กด Check for updates
  • Windows จะ Download อัพเดทที่เรายังไม่ได้ลงทั้งหมด และทำการติดตั้งให้ อันไหนที่ต้องการ restart ก็จะบอกเราครับ
  • หลังจากที่ทุกอย่างเป็นปัจจุบันหมดแล้ว หน้าจอจะเป็นแบบนี้ครับ
หมายเหตุ เพื่อให้ Windows อัพเดทให้ครบๆ ให้เข้าไปที่ Advance options แล้วเลือก "Give me update for other Microsoft products when I update Windows" ด้วยนะครับ


การอัพเดท Apps ต่างๆ ที่มากับ Windows 10 ให้เป็น Version ปัจจุบัน

นอกจาก Windows update แล้ว Applications หรือที่ปัจจุบันมักเรียกกันสั้นๆ ว่า Apps นั้น (Microsoft ไม่ได้เรียกว่า program นานแล้วครับ) Windows 10 จะมี Windows Store (ซึ่งกำลังจะเปลี่ยนชื่อเป็น Microsoft Store) ซึ่งทำหน้าที่ในการค้นหา Apps / ลง Apps / อัพเดท Apps ซึ่งตอนที่เราลง Windows 10 ใหม่ๆ นั้น ก็จะมีการลง Store apps มาด้วยหลายแอพเลยทีเดียว ซึ่งหลายๆ แอพนี้ มีความสำคัญกับชีวิตในการใช้ Windows 10 ของเราเป็นอย่างมาก ไม่ว่าจะเป็น Photo, Groove, Outlook Mail, Maps, Calendar, Skype, Weather, MSN News, MSN Sport, MSN Money เป็นต้น แอพเหล่านี้ต้องการการ update อย่างสม่ำเสมอจาก Store ครับ วิธีการ Update แอพจาก Store นั้น ปกติ Windows จะอัพเดทแอพเหล่านี้ให้โดยอัตโนมัติหลังจากที่ Login ด้วย Microsoft Account แล้ว แต่ก็สามารถเข้าไปทำได้เอง ดังนี้ครับ
  • เข้าไปที่ Store > ... > Downloads and updates

  • เลือก Get update

ค้นหา Apps ต่างๆ ที่เราต้องการจาก Store

ข้อดีของ Store app คือ "Update ตลอดเวลาผ่าน Store", "ไม่ทำให้เครื่องช้าลง", "มีระบบการแจ้งเตือนผ่าน Action centre", "สามารถ install/ uninstall ได้หมดจด ไม่เหลือไฟล์ขยะไว้", "ปลอดภัยไร้ไวรัส" ดังนั้น เพื่อให้เราไม่ต้องมานั่งปวดหัว format/ ลง Windows ใหม่กันบ่อยๆ เราควรจะเลือกใช้ Store apps ให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ครับ ปัจจุบัน Apps ทั้งหลายก็เริ่มมาที่ store กันเป็นส่วนใหญ่แล้วด้วยครับ

แอพอย่าง LINE, Facebook, Messenger นั้นมีอยู่ใน Store แล้วครับ ลองดูนะครับ ไว้ผมจะมาเขียนบทความแนะนำ Store app ที่ดีๆ กันในโอกาสถัดไปนะครับ

ไม่ลง Antivirus เพิ่มเติม

ถูกต้องแล้วครับ ผมไม่แนะนำให้ลง Antivirus ใดๆ เพิ่มเติม เพราะมันมี Windows Defender อยู่แล้ว และในการใช้งานทั่วๆ ไป เจ้า Windows Defender ก็เพียงพอครับ Antivirus หลายตัวนั้น นอกจากจะไม่ได้ดีไปกว่า Windows Defender แล้ว ยังอาจทำงานขัดกับ App ทั้งหลายจนเกิดช่องโหว่ให้ไวรัสเล่นงานได้อีกต่างหาก (อันนี้อ้างอิงจากอดีตวิศวกร ผู้พัฒนา Chrome browser ให้กับ Google ครับ)

ดังนั้น หากมั่นใจว่าเราไม่ได้ลงโปรแกรมเถื่อน (ซึ่ง Antivirus ก็ช่วยเราไม่ได้) หรือเข้าเว็บใต้ดินหนักๆ และเวลาท่องเว็บก็ติดพวก Ad Block extension ไว้เสมอ และ Update Windows ไว้ตลอดๆ เท่านี้ก็จะปลอดภัยจากไวรัสต่างๆ แล้วครับ ปัจจุบัน Anti-virus นั้นมีไว้เพราะ "เป็นความเคยชิน" ผมเองก็ใส่ไว้มาตลอดก่อน Windows 10 ซึ่งมันก็ไม่เคยสแกนเจออะไรเลย ซึ่งกลับกลายเป็นว่าทำให้เครื่องช้าลงอีกแน่ะ ยิ่งถ้าเป็น Antivirus เถื่อนนี่ยิ่งหนักเลยครับ ตัวมันนั่นแหละ

เอาล่ะครับ ง่ายๆ แค่นี้เครื่องของเราก็จะพร้อมรับการใช้งานไปได้อีกนานครับ สำหรับใครที่ซื้อเครื่องใหม่ ก็ขอให้ไม่เจอกับปัญหา defect ต่างๆ ให้วุ่นวายใจกันทุกๆ คนนะครับ

Saturday 9 September 2017

ทำไมต้อง Mac? ช่างภาพจำนวนไม่น้อยใช้ Surface Pro ในการทำงานกับภาพถ่าย

สวัสดีครับ บทความนี้อาจจะต่างจากบทความอื่นอยู่บ้าง ในการนำเสนอทางเลือกสำหรับ laptop คู่กายของช่างภาพทั้งหลาย เรียกง่ายๆ ว่าบทความวันนี้ของผม จะดูเหมือน Blog มากกว่า Guide แบบบทความอื่นๆ นะครับ ถือว่าเป็นการเปลี่ยนบรรยากาศ

ทำไมต้อง Mac?

MacBook Pro เป็นทางเลือกลำดับต้นๆ ของเหล่าช่างภาพมายาวนาน ผมรู้จักช่างภาพคนหนึ่ง ที่ก็มักจะบ่นว่ารายได้ไม่ได้มากมายอะไรนัก แต่พอถามเรื่องคอมพิวเตอร์ ช่างภาพก็บอกว่า "ต้อง" ใช้ Mac และต้องเปลี่ยนทุก 5 ปี เหมือนว่าไม่มีทางเลือกอื่น

ก่อนอื่นต้องบอกก่อนเลยว่า สำหรับผม MacBook Pro นั้น เหมาะสมกับการทำงานกับภาพถ่ายมาก โดยเฉพาะการที่มันมีน้ำหนักเบา พกพาได้สะดวก และหน้าจอมีสีสันที่สมจริง ทำให้เป็น Laptop ที่ครองใจช่างภาพมาอย่างยาวนาน และผมก็ไม่มีปัญหาอะไรที่จะแนะนำ MacBook Pro ให้กับช่างภาพที่อยากใช้ Mac ในการทำงาน เพียงแต่ว่า "นั่นมันง่ายเกินไป" ครับ ใครๆ ก็สามารถแนะนำให้ใช้ Mac ได้เลยโดยแทบไม่ต้องคิดอะไร ส่วนทางฝั่ง Windows เองก็มี Laptop หลายรุ่นที่เหมาะกับการทำงานภาพถ่าย แต่อาจจะแค่ไม่ได้พูดถึงมันในวันนี้


ช่างภาพผู้ใช้ Surface Pro

วันนี้ผมอยากถือโอกาสนำเสนออีกแง่มุมหนึ่งของเหล่าช่างภาพมืออาชีพที่ "เบื่อ" สิ่งเดิมๆ/ "อยากลอง" อะไรใหม่ๆ/ แต่ละคนอาจจะมีเหตุผลที่ต่างกันไป มาพบกับประสบการณ์ของช่างภาพผู้ใช้ Surface Pro เหล่านี้กันครับ

Onlysublime
ผมเป็นช่างภาพที่ใช้งานพวก Lightroom, Photoshop, Illustrator, InDesign, และ Premiere Pro เยอะเลย โปรแกรมเหล่านี้ทำงานได้ดีเยี่ยมบน Surface Pro i7, 8GB, 256GB ของผม เพียงแต่บางทีก็คิดว่าถ้ามี RAM 16GB น่าจะใช้ Premiere Pro ได้ดีกว่านี้ครับ

แต่ 8GB นั้นเพียงพอกับการใข้งาน Photoshop แน่นอน

Etphoto
ผมเป็นช่างภาพโปร ที่ใช้ Surface Pro ครับ Photoshop ใช้งานได้ชิวมากๆ แต่เพราะมันมีหลายรุ่น คงต้องขึ้นกับว่าภาพถ่ายที่จะทำงานด้วยนั้นเป็นภาพแบบไหน และปริมาณกี่ภาพ ผมแนะนำให้ใช้รุ่น Core i7, 16GB ซึ่งก็แพงเอาการอยู่ เรื่องเดียวที่ผมเป็นกังวลก็คือ ขนาดของหน้าจอที่อาจจะเล็กเกินไป (แต่ก็สามารถต่อออกหน้าจอได้)

ลองนึกถึงการสั่งให้ Photoshop ทำงานบางอย่างกับภาพหลายร้อยภาพพร้อมๆ กัน ถ้าต้องใช้งานแบบนั้น RAM 16GB จะทำให้ชีวิตง่ายขึ้น

GG002
ผมอยากบอกว่า จริงๆ แล้วผมเป็นช่างภาพ "กึ่ง" อาชีพที่รับงาน freelance เป็นครั้งคราว ผมใช้ Surface Pro 3 มาหลายปีแล้ว และมันเยี่ยมยอดมากในการปรับแต่งรูปภาพนอกสถานที่ เครื่องของผมมี RAM 8GB, SSD 256GB, และ USB-A สำหรับต่อกับ external hard drive ซึ่งทำให้ผมไม่เคยมีปัญหาเลยไม่ว่าจะเป็นเรื่อง performance หรือพื้นที่ในการจัดเก็บ เอาจริงๆ เลยนะ การที่หน้าจอของ Surface Pro มีความแม่นยำของสีที่เหนือกว่า Gaming laptop ที่ผมมี ทำให้แม้ว่าจะอยู่บ้าน ผมก็มักจะคว้า Surface Pro 3 มาใช้ในงานแต่งรูปครับ

Convergent
ผมใช้ Lightroom เยอะมวากกก แต่ไม่เคยต้องใช้ RAM ถึง 16GB เลย ผมเริ่มต้นใช้ Lightroom กับ MacBook Air 4GB เป็นเวลาหลายปีก่อนจะเปลี่ยนเป็น Mac mini 4GB (ก่อนอัพแรมเป็น 10GB ในเวลาต่อมา) ตอนนี้ผมใช้ New Surface Pro (nSP) 8GB เอาจริงๆ ทั้งสามเครื่องสามารถทำงานโอเคเลยนะสำหรับการปรับแต่งภาพ RAW files เยอะเยอะของผม

อ่อ ผมเพิ่งใช้ nSP มาไม่นานเลยยังไม่สามารถวิเคราะห์ได้อย่างละเอียด แต่เท่าที่ใช้มา ก็น่าจะไปได้ดีกับ Lightroom

(อัพเดทเพิ่มเติม)
ผมเพิ่งปรับแต่งภาพกว่า 1,800 ภาพ ที่ไปถ่ายงานมาใน Lightroom มันก็ทำงานได้เร็วดีนะ จาก 1,800 ผมเลือกให้เหลือ ~400 จากนั้นก็ cropๆๆๆ และ edit บ้างเล็กน้อย จากนั้นก็ output มันขึ้นไปบน gallery บน Facebook

ผมใช้ nSP, type cover, Surface arc mouse และมันทำงานได้ลื่นๆ เลยนะ ขนาดตอนที่มันสร้าง preview อยู่ ผมยังสามารถเข้าไปดูรูปแต่ละรูปโดยไม่แล็กตอนเปลี่ยนรูปเลยครับ อ่อ ผมทำงานที่โต๊ะกินข้าวด้วยนะ (ให้เมียดูทีวี 4K ไป... เป็นคนดีจริงๆ)

ผมรักมันแล้ว new Surface Pro

Dnmartin98
ผมเป็นโปรถ่ายภาพที่ใช้ Windows มาตลอด (เป็นพันธุ์หายาก...555) และเคยทำงานด้านถ่ายภาพในมหาวิทยาลัยด้วย

ผมใช้ Surface Pro 4 ในการทำงานครับ เมื่อเร็วๆ นี้เอง ผมได้ย้ายข้อมูลทั้งหมดมาจาก Desktop ของผมมาทำงานใน SP4 ทั้งหมดเพื่อจะดูว่ามันจะไหวมั้ย และพบว่ามันไหวมาก ผมทำงานเกือบจะทั้งหมดใน Lightroom นะครับ นานๆ ครั้งถึงจะใช้ Photoshop ซักทีคงขออนุญาตไม่เม้นท์เรื่อง Photoshop แล้วกัน

ผมใช้ SP4 core i7, 16GB, 512GB และต่อ Surface dock ออกจอเพิ่มอีก 2 จอ ทำงานที่ว่ามาแบบเนียนๆ ไม่มีปัญหา ซึ่งมันขึ้นอยู่กับขนาดของ RAW files ด้วย ปกติผมจะถ่ายภาพแบบ mRAW / sRAW ซึ่ง Lightroom จัดการได้สบายๆ แต่ไม่รู้ว่าเวลาที่จำนวนภาพเพิ่มขึ้นเยอะๆ แล้วมันจะเป็นยังไงเหมือนกันนะครับ เดาเอาว่ามันคงอืดลงตามธรรมชาติ เดิมทีผมจะสร้าง Catalogue ใหม่ทุกๆ ประมาณ 3 ปี แต่สงสัยต่อไปนี้จะต้องทำมันบ่อยขึ้นเพื่อให้จำนวนภาพต่อ catalogue ลดลง

เมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมาผมถ่ายภาพพวกสิ่งปลูกสร้างซึ่งต้องการ full RAW files มา ก็สังเกตุเห็นว่า SP4 จะใช้เวลามากกว่าปกติหน่อยในการปรับแต่งภาพพวกนี้มากกว่า mRAW / sRAW นะ แต่ก็ไม่ได้กระทบการทำงานของผมมากมายอะไร

ประโยชน์เด่นๆ เลยของ SP4 สำหรับผมคือการพกพาเดินทางไปไหนมาไหน อย่างบนเครื่องบิน พื้นที่วางของมันก็จะเล็กๆ หน่อย SP4 กินพื้นที่น้อยลงกว่า laptop สมัยก่อนเยอะ ทำให้การทำงานบนเครื่องบินดีขึ้นจมหูเลยครับ และถ้าดันดวงแตกไปเจอเครื่องที่แคบมากๆ ก็เอา type cover ออกและใช้ touch mode ได้ แม้ว่า Light room จะทำงานได้แย่เมื่อใช้ touch mode ก็ตาม มันก็ยังดีกว่าทำอะไรไม่ได้เลยบนเครื่องบิน

เรื่องพื้นที่เก็บข้อมูลนี่ล่ะที่ดูเหมือนจะเป็นปัญหาใหญ่ของผมตอนนี้กับ SP4 เพราะตอนที่ใช้ Desktop ผมจะใส่อะไรเท่าไหร่ก็ว่าไป แต่ตอนนี้พอใช้แต่ SP4 แล้วมันทำให้กังวลเรื่องนี้หนักมาก และตอนนี้ยังไม่รู้จะแก้ปัญหายังไงดี คงต้องหาทางกันต่อไป

ปัญหาเล็กๆ น้อยๆ ที่ผมไม่ค่อยชอบ คือ เรื่อง power management ที่พอเปลี่ยน profile แล้วจะต้อง restart ใหม่ทุกที ซึ่งก็เป็นปัญหาของ Windows ล่ะนะ

ส่วนเรื่องแบตเตอรี่ไม่ค่อยเป็นปัญหาสำหรับผมนะ ยังไงซะ งานที่ผมทำอย่างการ build previews อะไรพวกนี้มันกินแบตอยู่แล้ว ปกติผมไม่พก charger ด้วยนะ ก็ยังโอเค อ่อ แต่ถ้าวันไหนขึ้นเครื่องบินแล้วที่นั่งไม่มีปลั๊กให้ชาร์จไฟ พอแบตหมด ผมก็แบตหมดตาม ฮี่ๆๆๆ

สรุปง่ายๆ ว่า สำหรับผม ความดีของมัน มีมากกว่าความหงุดหงิดมากมายก่ายกองครับ

Jlabelle
ผมเป็นช่างภาพที่ใช้ Surface Pro 3, core i7, 8GB และคิดว่ามันแจ่มมากครับ ผมใช้ Capture One Pro 10 ที่บ้านโดยต่อ SP3 เข้ากับ Dell monitor 27"

หรือถ้าไม่ต่อจอนอก ผมกลับใช้มันแบบ Tablet mode นะ ซึ่งก็ทำงานได้ลื่นๆ โดยเฉพาะถ้าใช้ปากกามาแทนเม้าส์ด้วย ผมหมุนและซูมด้วยทัช และเลื่อนสไลเดอร์/ mask ด้วยปากกา

สำหรับผม ยังไงซะ สำหรับงานแต่งรูป (ซึ่งมันไม่ต้องใช้พลังประมาณผลสูงเวอร์ๆ) พวก touch 2-in-1 ยังไงก็ดีกว่า Mac แน่ๆ ด้วยความสัตย์จริง ถ้าต้องจ่ายเพิ่ม 500 ยูโรเพื่อให้ได้ MacBook Pro ที่เร็วกว่านิดหน่อย แต่ไม่รองรับ touch & pen ซึ่งผมคิดว่าสำคัญมากกับงานแต่งภาพ ผมนึกไม่ออกเลยว่าทำไมถึงจะเลือก Mac ผมไม่ใช่ fanboy เลยไม่เข้าใจมั้ง

ยิ่งพอได้ยินว่า new Surface Pro เร็วกว่ารุ่นที่ผมใช้อยู่ 50% ผมยิ่งมั่นใจว่า ทำงานได้ชิวๆ แน่ครับ

ขอแนะนำแรงๆ เลยครับ

Witness
ผมใช้ Surface Pro 3, 256GB ครับ (ถ้าจะซื้อใหม่ผมจะจัด 512GB แน่ๆ ครับ) ตอนนี้ผมใช้เจ้า SP3 นี่เป็น workstation หลักของผมเลย จะแต่งภาพที่ไหนก็ได้ สามารถรันสคริปต์ให้มันปรับขนาดภาพอะไรพวกนี้ให้ลูกค้าได้สบายๆ ตอนผมเดินทาง ยิ่งมีปากกา ยิ่งทำให้การทำงานง่ายขึ้นมาก

อ้อ ผมเป็น โปรถ่ายภาพมามากกว่า 17 ปีแล้วครับ


สรุป
ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อครับว่า 100% ของช่างภาพที่มาแชร์ เป็น positive feedback ทั้งหมด จริงๆ ยังมีบทความแบบนี้อีกมากมาย ไว้ว่างๆ อาจจะเอามาเล่าสู่กันฟังอีกครับ
ก็หวังว่าจะเป็นประโยชน์กับคนที่กำลังตัดสินใจจะถอย nSP นะครับ

ปิดท้ายด้วยคลิปเปิดตัวของ Surface Pro 7 ครับ


Saturday 12 August 2017

การใช้ Storage sense ใน Windows 10 เพื่อลดไฟล์ขยะแบบอัตโนมัติ

สวัสดีครับ เพื่อนๆ ที่ใช้ Windows กันมานานนั้น น่าจะเคยผ่านประสบการณ์ว่าเครื่องที่ถูกใช้มาสักระยะนั้น จะต้องมีการลบไฟล์ขยะเป็นระยะๆ เพื่อป้องกันไม่ให้ Windows นั้นช้าลง หรือพื้นที่ hard disk เต็ม

เรื่อง Hard disk เต็มนั้น ปัจจุบันเริ่มกลับมามีความสำคัญมากขึ้น เนื่องจากเทรนด์ของ 2-in-1 tablets/ laptops ที่กำลังมาแรง ซึ่งพวก 2-in-1 tablets/ laptops เหล่านี้ มักจะมาพร้อมกับ Solid State Drive (SSD) ซึ่งทำงานได้เร็วกว่า Hard Disk จานหมุนแบบเดิมๆ หลายเท่า แต่ก็จะมีราคาที่สูงกว่า Hard Disk มากในขนาดความจุเดียวกัน ทำให้เวลาเราซื้อ 2-in-1 tablets/ laptops รุ่นใหม่ๆ นี้ กลับกลายเป็นว่ามักจะได้ขนาดพื้นที่ของ internal storage ที่น้อยลงกว่าสมัยก่อนหลายเท่าอยู่

ใน Windows 10 เอง มีวิธีการจัดการกับไฟล์ขยะอยู่หลายวิธี ไม่ว่าจะเป็นวิธีการเดิมๆ ที่ใช้เวลารอนานเหมือนกัน โดยใช้ Disk cleanup หรืออาจะทำได้โดยการ Refresh / Reset การใช้งานของ Windows 10 Apps ซึ่งเราต้องเข้าไปกดเองเป็นระยะๆ แต่วันนี้ผมมีวิธีที่กำหนดให้ Windows 10 ทำการจัดการไฟล์ขยะบางประเภทให้เราโดยอัตโนมัติ ดังนี้ครับ วิธีการนี้เหมาะมากสำหรับผู้ที่ไม่ได้มีสกิลการใช้คอมมากมาย

การใช้ Storage sense ใน Windows 10 

  1. ใน Settings เลือก Systems
  2. เลือก Storage
  3. ดูว่า Storage ได้เปิดใช้งานอยู่แล้วหรือไม่ (ตามรูป คือ เปิดใช้งานแล้ว) ถ้ายัง ให้เปิดใช้งาน
  4. เข้าไปปรับแต่งเพิ่มเติม (customise) ได้อีกเล็กน้อยโดยคลิกที่ "Change how we free up space" จากนั้นก็เลือก options ต่างๆ ที่เราต้องการดังนี้ครับ
    • ให้ Windows 10 ลบ Temporary files ที่ Apps ไม่ได้ใช้งานแล้วหรือไม่
    • ให้ลบไฟล์ใน Recycle Bin ที่อยู่มานานกว่า 30 วันหรือไม่
  5. เราสามารถตรวจสอบได้ ว่า Storage sense ได้ช่วยลบไฟล์ให้เราไปมากนั้นแค่ไหน รวมถึงเลือก "Clean now" เพื่อให้ Windows 10 จัดการไฟล์ขยะได้ทันที

เพียงเท่านี้ เราก็จะไม่ต้องกังวลกับไฟล์ขยะทั้งสองประเภทนี้ไปอีกเลยครับ


Note ผมเขียนบทความนี้จาก Windows 10 Creators update (v1703) ซึ่งเป็น latest production version ณ วันที่เขียนบทความนะครับ หาก Windows 10 version ใหม่ๆ มีการเปลี่ยนแปลงหรือเพิ่มเติม options ต่างๆ ผมจะมา update บทความให้เป็นระยะๆ ครับ

Note2 บทความและรูปภาพต่างๆ ผมได้จัดทำขึ้นเอง โดยใช้ Microsoft Surface 3 และ Surface Pro pen

Sunday 4 June 2017

ใช้ on screen mouse ใน Windows 10 tablet


เพื่อนๆ ที่มี Windows 10 tablet นั้นคงรู้จักกับ on screen keyboard เป็นอย่างดี เพราะเคยใช้กันทุกคน แต่สำหรับคนที่อยากใช้ mouse ในการทำงานละเอียดๆ บางอย่างซึ่งทำด้วยการใช้นิ้วมาจิ้มหน้าจอนั้นทำได้ยาก ต้องมานั่งลำบากหาเมาส์มาต่อ ซึ่งก็ไม่ใช่ว่า mouse ที่มีจะสามารถต่อเข้ากับ Windows tablet ได้เสมอไป (ใครที่ีมี Windows tablet ที่ไม่มี USB-A port คงเข้าใจนะครับ)  ตั้งแต่ Windows 10 creators update (v1703) นี้ Microsoft ได้เพิ่ม feature ใหม่ขึ้นมา เรียกว่า on screen touchpad

วิธีการเปิด on screen touchpad ใน Windows 10 Creators update

  • คลิกขวาที่ Taskbar
  • เลือกที่ Show touchpad button
 

  • จะมี Touchpad Icon เพิ่มขึ้นมาที่ taskbar

ตัวอย่างการใช้ประโยชน์ของ on screen touchpad ในการควบคุม mouse ด้วย touchscreen

ผมได้ทำคลิปแสดงตัวอย่างการใช้ on screen touchpad มา ดังนี้ครับ


Sunday 14 May 2017

ลง Windows 10 แท้ แทนที่ Windows 10 เถื่อน

สวัสดีครับ ปัญหาเรื่อง Software ละเมิดลิขสิทธิ์ หรือที่เรียกว่าของเถื่อนนั้น ต้องยอมรับว่าเป็นปัญหาที่อยู่คู่กับสังคมไทยมาโดยตลอด Software หนึ่งที่ถูกละเมิดลิขสิทธิ์กันมากในบ้านเรานั่นคือ Microsoft Windows นั่นเองครับ ผมเชื่อว่าทุกวันนี้เครื่องเปล่า/ เครื่องที่มาพร้อม DOS/ เครื่องที่มาพร้อม Linux นั้น 95% จะถูกนำไปลง Windows ทันทีหลังจากซื้อ และ 90% ของ Windows ที่ลงด้วยวิธีการนี้ก็มักจะเป็นของผิดกฎหมายกันเสียด้วย

แต่ในปัจจุบัน ความตื่นตัวในเรื่อง Software ถูกลิขสิทธิ์ก็มีมากขึ้น โดยเฉพาะในหมู่ผู้ใช้ด้วยกันเอง ก็เริ่มอายที่จะบอกว่าตัวเองใช้ของเถื่อน มีการเลี่ยงบาลีไปต่างๆ นาๆ ซึ่งผมมองว่าเป็นสัญญาณที่ดีว่าบ้านเรากำลังก้าวเข้าสู่สังคมที่เคารพทรัพย์สินทางปัญญาแล้วครับ

ตัวผมเองสนับสนุนการใช้ Software ถูกลิขสิทธิ์ 100% นะครับ บอกไว้ก่อนเลยว่า guide ของวันนี้มาจากการทำ research ล้วนๆ เพราะ Surface ที่ใช้อยู่มันมาพร้อม Windows 10 แท้อยู่แล้วครับ

เร็วๆ นี้ ผมได้ยินคำถามกันมากขึ้นว่าถ้าเครื่องเรามี Windows 10 เถื่อน (ขอเรียกสั้นๆ อย่างนี้นะครับ) และถ้าเราไปซื้อ Windows 10 แท้มาเราจะสามารถ install ในเครื่องได้อย่างไรโดยที่ไม่ทำให้โปรแกรมมากมายที่เราลงไว้ (รวมถึง Drivers ต่างๆ) หายไปหมด ผมเลยเกิดอยากเขียนอธิบายขึ้นมาเลยครับ คนดีๆ แบบนี้เราสนับสนุนอยู่แล้ว 👍👍

อ้อ Windows 10 แท้เองก็มีหลายประเภท เข้าไปดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ >>ที่นี่<< ครับ หรือสามารถลองดู Windows 10 บน Lazada

วิธีการเปลี่ยน Windows 10 เถื่อนของเราให้เป็น Windows 10 แท้ มี 3 วิธีด้วยกันครับ
1) เปลี่ยน Product Key โดยไม่ต้องลง Windows ใหม่
2) ลง Windows ใหม่โดยใช้ USB ที่ได้มาจากการซื้อ Windows 10 แท้
3) ลง Windows ใหม่โดยการสร้าง Installation media จากเว็บ

การเปลี่ยน Product Key โดยไม่ต้องลง Windows ใหม่
จริงๆ แล้วถ้า Windows ของเราไม่ได้มีปัญหาอะไร เราสามารถเปลี่ยนจาก Windows เถื่อนเป็น Windows แท้ได้ง่ายๆ ด้วยการเปลี่ยน Product Key ของเราให้เป็นของแท้ โดยมีวิธีการดังนี้ครับ

  • เข้าไปที่ Settings
  • เลือก Update & Security
  • เลือก Activation
  • เลือก Change Product Key
  • ใส่ Product Key ของ Windows 10 แท้ที่เราซื้อมาลงไปแล้วกด Next
  • จากนั้นเราจะสามารถ Activate Windows 10 ของเราให้เป็นของแท้ได้ทันที


เพียงเท่านี้ Windows ของเราก็จะเป็นของแท้แล้วครับ ง่ายมั้ย 😄

การลง Windows ใหม่โดยใช้ USB flash drive ที่ได้มาจากการซื้อ Windows 10 แท้
ในอดีต แผ่นแท้ทั้งหลายจะมาเป็น CD/ DVD แต่ในปัจจุบันของแท้ (เรียกแผ่นไม่ได้แล้วสิ) โดยเฉพาะในรูปแบบ Windows 10 FPP มักจะมาเป็น USB flash drive แล้วครับ

แม้ว่าวิธีการด้านบนนั้นจะแสนง่าย แต่บางครั้งการลง Windows เถื่อนนั้นมีของแถมไม่พึงประสงค์มาเยอะจนอยากลบทิ้งเริ่มใหม่กับของแท้แบบซิงๆ เพื่อความสบายใจ เราสามารถทำได้ดังนี้
  • บูทเครื่องเข้า Windows ของเรา
  • แนะนำให้ backup ข้อมูลไว้ก่อนครับ
  • เสียบ USB flash drive ที่ได้มาแล้วเข้าไปที่ File Explorer
  • เข้าไปที่ USB flash drive
  • เข้าไปที่ folder ที่มี setup.exe แล้วเลือกมันครับ
  • Windows จะมีให้เลือกว่าจะลง Windows โดยเก็บอะไรไว้บ้าง เช่น เก็บ App มั้ย เก็บ Files มั้ย เราก็เลือกตามที่เราต้องการครับ
  • จากนั้นปล่อยให้มันลง Windows จนเสร็จ โดยจะมีขั้นตอนให้ใส่ Product Key ด้วยครับ พอมันขึ้นมาเราก็ใส่ Product Key แท้ที่เราได้มาลงไป
  • เข้าไป update Windows ให้เป็น version ปัจจุบัน รวมถึง Drivers ต่างๆ ด้วย
  • Login ด้วย Microsoft Account เพื่อให้ Windows licence ของเราผูกกับ Microsoft account ของเราไม่หายไปไหน
  • ตรวจสอบว่า Windows ได้ restore สิ่งที่เราบอกให้มันเก็บไว้มาครบหรือไม่ ถ้าไม่ครบ หันไปดู Backup ที่เราทำไว้ตอนต้นครับ
เท่านี้เราก็จะได้ Windows สะอาดๆ ตามที่เราต้องการครับ (ถ้าอยากสะอาดมากตอนมันถามมว่าจะให้เก็บอะไรบ้างก็ตอบว่า "ไม่เก็บอะไรเลย" ก็จะสะอาดสุดครับ)

การลง Windows ใหม่โดยการสร้าง Installation media จากเว็บ
ถ้าเราซื้อ Windows 10 แท้แล้วได้มาแต่ Product key เราสามารถสร้าง media creation tool สำหรับใช้ในการ install เองตามขั้นตอนด้านบนได้ง่ายๆ จากเว็บ Microsoft ดังนี้ครับ

  • ใช้ USB drive ที่มีขนาดอย่างน้อย 4 GB
  • เข้าเว็บไปที่ Windows 10 download page
  • เลือก Download tool now

  • จากนั้นก็เปิดไฟล์ขึ้นมาแล้วเลือก "Create installation media for another PC"
  • จากนั้นจะมีหน้าที่บอกว่า Use the recommended options for this PC ให้ tick ออกนะครับ แล้วระบุภาษา version และอันนี้สำคัญ อย่าลืมเลือก "64-bit (x64)" ถ้าจะลง Windows 10 64 bit นะครับ
  • เลือก USB flash drive
  • จากนั้นเราจะได้ USB flash drive ที่สามารถลง Windows 10 64-bit ให้เราได้แล้วครับ
วิธีการลง Windows โดยเก็บบางอย่างไว้ ทำได้เหมือนข้างบนเป๊ะๆ ครับ

ลองดู Windows 10 บน Lazada

อันนี้แถม ถ้าต้องการลง Windows 10 แบบ Clean install ผมเคยเขียนสรุปไว้ในหัวข้อ >>"ติดตั้ง Windows 10 64-bit" ที่นี่<< ครับ

Saturday 29 April 2017

วิธีการป้องกันไม่ให้ Windows 10 ทำการ update ตัวเองอัตโนมัติ

สวัสดีครับ ปัญหาหนึ่งที่ผู้ใช้งาน Windows 10 โดยเฉพาะ Windows 10 Home นั้นมักจะเจอกัน คือ Windows 10 Home นั้นจะทำ windows update automatically ซึ่งถ้ามันมาไม่ถูกจังหวะ (เช่น กำลังจะปิดคอมกลับบ้าน, กำลังทำงาน) แล้ว ก็จะสร้างความรำควญให้กับเราเป็นอย่างมาก ถึงมากที่สุด

เอาจริงๆ เราก็สามารถ set มันได้ในระดับนึง ใน Windows 10 Pro นั้น เราสามารถเลือก Defer มันได้ครับ แต่สำหรับ Windows 10 Home นั้น เราเลือกได้แค่เวลาที่เราจะไม่ให้มัน restart เท่านั้น ดังนั้น ปัญหานี้ จัดได้ว่าเป็นปัญหาที่หนักกว่าของผู้ที่ใช้ Windows 10 Home ครับ วันนี้ผมเลยมีวิธีการง่ายๆ ในการทำให้ Windows 10 ไม่ update ตัวเองเวลาที่เราไม่ต้องการครับ ด้วยวิธีการเซ็ทให้ internet ของเราเป็น metered internet connection ซึ่งจะทำให้ windows update service นั้นจะไม่ download windows update file (เพื่อประหยัดปริมาณ data ที่เราใช้งาน) และนั่นจะทำให้ไม่เกิดการ update เองโดยอัตโนมัตินั่นเองครับ

หมายเหตุ Windows 10 ที่ผมมั่นใจว่าสามารถทำตาม guide นี้ได้ คือ Windows 10 Home/ Pro Creators update นะครับ

การดูว่า Windows 10 ของเราเป็น Home หรือ Pro

  1. เลือก Settings
  2. คลิก Update & security
  3. คลิก Activation
  4. ดูตรง Edition ครับว่าเป็น Home หรือ Pro

การเซ็ทให้ internet ของเราเป็น metered internet connection

ปกติแล้ว WIFI นี่ Windows 10 จะจัดอยู่ในประเภท unlimited internet ครับ เราสามารถใช้ประโยชน์จากการตั้งค่าให้มันกลายเป็น metered internet เพื่อหยุด Windows update service ได้ง่ายๆ ดังนี้
  1. เลือก Settings
  2. คลิก Network & internet
  3. คลิก WIFI
  4. เลือก WIFI network ที่เราต้องการจะ set
  5. เลื่อนแถบ Set as metered connection ไปทางขวา
ปล. วันนี้ขอเปลี่ยนบรรยากาศเป็น video guide นะครับ ลองทำดูครับ ^^

ง่ายๆ เพียงเท่านี้ครับ เมื่อไหร่ที่เราอยากจะทำ windows update เราก็สามารถปรับกลับไปเป็นแบบเดิมได้ครับ

ข้อควรระวังของ Metered internet connection

มีข้อควรระวังอยู่นะครับในการเซ็ทให้ WIFI นั้นๆ เป็น metered internet connection เพราะมันจะทำให้การ sync ข้อมูลบางอย่างไม่ทำงานเพื่อประหยัดปริมาณ data ที่เราใช้งาน เช่น OneDrive sync ซึ่งอาจจะกระทบการใช้งานของบาง app ได้นะครับ





Sunday 23 April 2017

การตรวจสอบสถานะและประวัติการใช้แบตเตอรี่ใน Windows 10

สวัสดีครับ วันนี้ผมมี Tips ง่ายๆ สำหรับเพื่อนๆ ที่ใช้ Windows 10 Laptop/ tablet ที่มีแบตเตอรี่ในตัวนะครับ เรามีวิธีตรวจสอบ
  • Cycle count
  • Full charge capacity เทียบกับ Designed capacity
  • ประวัติการใช้งาน (เวลาทำงานบนแบตเตอรี่ และเวลาทำงานแบบเสียบปลั๊ก)
  • ระยะเวลาที่เครื่องเราใช้งานได้จริง
ทั้งหมดนี้ทำได้ง่ายๆ ด้วยคำสั่งเพียงคำสั่งเดียว ย้อนกลับไปได้จนถึงวันแรกที่ใช้งานเลยทีเดียว ทำแบบนี้เลยครับ
  1. เปิด command prompt ซึ่งทำได้ 3 วิธี แล้วแต่ความถนัด
    1. เลือก Start > Windows system > command prompt
    2. กด search/ Cortana แล้วพิมพ์ "cmd" หรือ "command prompt"
    3. กด Windows + R แล้วพิมพ์ "cmd"
  2. พิมพ์ "powercfg /batteryreport"

  1. สังเกตุว่ามันสร้าง 'battery-report.html' ไว้ที่ไหน

  1. เข้าไปเปิด battery-report.html ใน folder นั้น ก็จะเจอข้อมูลทั้งหมดที่ผมว่ามาครับ

ปล. เครื่องผมใช้มา 10 เดือนครับ ดูเหมือนแบตจะยังดีอยู่ 😁

สำหรับผู้ที่ใช้บ่อย และ Advance Users

วิธีการนี้สามารถทำได้ง่ายๆ ด้วยการสร้างไฟล์ .BAT แล้วแปะไว้ที่ Desktop ก็สะดวกต่อการใช้งานดีครับ

Sunday 16 April 2017

Windows 10 Home/Pro และ OEM/FPP เลือกแบบไหนดี

สวัสดีครับ หลายๆ ครั้งเวลาเราเลือกซื้อ Windows นั้น เวลาเดินเข้าไปในร้าน (หรือเข้าไปในเว็บ) เรามักเจอกับ 4 ตัวเลือกว่า เราจะซื้อแบบ Home หรือแบบ Pro จากนั้นเราก็จะเจอคำถามว่าเราจะซื้อแบบ OEM หรือแบบ FPP l ซึ่งราคาและคุณสมบัติก็จะต่างกันไป คร่าวๆ ประมาณนี้เลยครับ

(หมายเหตุ สำหรับวิธีการเลือก 32 bit/ 64 bit นั้น ผมเขียนไว้เป็นส่วนหนึ่งของในอีกหน้าหนึ่งนะครับ >>HERE<<)

ตัวอย่างราคาของ Windows 10 ทั้ง 4 แบบจากเว็บ JIB.co.th (16 Apr 2017)

Windows 10 Home
Windows 10 Home นั้น เหมาะสำหรบผู้ใช้งานตามบ้านทั่วไป ที่ไม่ต้องการความยุ่งยากในการบำรุงรักษา Windows และแทบไม่เคยเข้าไปยุ่งกับ Settings, securities ใดๆ เลย เพราะสำหรับผม Windows 10 Home นั้นเป็น version ที่มันเซ็ททุกอย่างให้เป็น automatic มากที่สุดแล้วครับ ไม่ว่าจะเป็น Windows update, Windows defender และการผูกกับ Microsoft account และเอาจริงๆ Windows 10 Home ไม่ได้มีฟังก์ชั่นอะไรที่ถูกตัดออกไปเลยครับ และราคาก็ถูกกว่าพอสมควร

สรุป --> Windows 10 Home เหมาะสำหรับผู้ใช้งานทั่วไป

Windows 10 Pro
Windows 10 Pro นั้น คือ Windows 10 Home ที่เพิ่มตัวเลือกของมือโปรในการเข้าถึงและจัดการต่างๆ ได้มากขึ้น โดยเฉพาะเรื่องของความปลอดภัย (securities features) เช่น Device guard, Secure boot, Bitlocker รวมถึง feature อื่นๆ สำหรับมือโปร เช่น Microsoft Hyper-V ซึ่งสิ่งเหล่านี้ ผู้ใช้งานระดับองค์กรต่างๆ มีความจำเป็นต้องใช้กัน
อย่างไรก็ตาม หากท่านเป็นผู้ใช้งานทั่วไป สิง่ต่างๆ เหล่านี้ที่ผมว่ามาก็แทบจะไม่ได้ส่งผลถึงการใช้งานในชีวิตประจำวันของท่านเลยครับ

สรุป --> Windows 10 Pro เหมาะกับองค์กรขนาดเล็กและผู้ใช้งานระดับโปร (advance users, professionals)


(หมายเหตุ จริงๆ ยังมี Windows 10 Enterprise & Windows 10 Education อีกนะครับ แต่เข้าใจว่าไม่น่าใช่ version ที่จะให้เลือกซื้อกันเอง)

OEM licence
OEM licence นั้น หมายถึงว่า Windows licence นั้นๆ เมื่อใช้ในการ activate Windows ที่เครื่องใดแล้ว จะใช้ได้กับเครื่องนั้นเพียงเครื่องเดียว โดย Windows licence จะผูกติดกับรหัส Mainboard / Hard drive ที่เราใช้ ซึ่งทำให้ราคาของ OEM licence ถูกกว่าแบบ FPP licence

สำหรับท่านที่ซื้อคอมพิวเตอร์ที่มาพร้อมกับ Windows 10 นั้น licence ที่ได้มาจะเป็น OEM licence ทั้งหมด

หมายเหตุ ถึงจะบอกว่าผูกกับ Mainboard/ Hard drive ของเครื่องเรา แต่ถ้าเราเปลี่ยนอะไหล่ เราสามารถ reactivate ได้โดยใช้ activation trouble shooter ได้เลย (รายละเอียดไว้เล่าให้ฟังทีหลังแล้วกันครับ)

FPP licence
FPP licence นั้นเรียกอีกอย่างว่าเป็น retail version ซึ่งเมื่อเราซื้อไปแล้ว จะถือว่าเรามี 1 Windows licence ติดตัวกับ Microsoft account ไปตลอด และสามารถ install/ uninstall ใน computer เครื่องใดก็ได้ ซึ่งเหมาะกับผู้ใช้งานที่เปลี่ยนคอมพิวเตอร์ค่อนข้างบ่อย (เช่น ซื้อ Laptop ใหม่ทุก 2-3 ปี เป็นต้น) ผมเข้าใจว่าคนกลุ่มนี้ก็มีไม่น้อย เช่น เกมเมอร์ทั้งหลายที่ต้องอัพเกรดคอมใหม่อยู่ตลอดๆ (แต่ถ้าอัพเกรดเป็นส่วนๆ ก็สามารถ reactivate ได้นะครับ)

My recommendation
ถ้าเป็นสมัยก่อน เช่น Windows 7 ผมจะแนะนำให้ผู้ใช้งานทั่วไปซื้อ Windows 7 Pro OEM เพราะผมเห็นว่า FPP ไม่จำเป็นเท่าไหร่ เดี๋ยวผ่านไปซักพัก Microsoft ก็จะออก Windows version ใหม่มาให้เสียตังใหม่ตลอด

แต่ในปัจจุบัน Microsoft ได้เปลี่ยนรูปแบบของ Windows ไป โดยได้มีการออกมาประกาศว่า Windows 10 จะเป็น version สุดท้ายของ Windows และจากนี้ไปจะเปลี่ยนเป็นการใช้งานแบบ WAAS (Windows-As-A-Service) แทน โดยจะมี feature upgrade มาให้เรื่อยๆ แบบที่เราเห็น Anniversary update (v1607) และ Creators update (v1703) ดังนั้น ผมเริ่มจะเอนเอียงไปทางฝั่ง FPP แล้วล่ะครับ ซื้อครั้งเดียวใช้ไปได้เรื่อยๆ

ดังนั้น ณ วันนี้ผมแนะนำว่าผู้ใช้งานทั่วไป ควรซื้อ Windows 10 Home FPP และ Advance user ซื้อ Windows 10 Pro FPP ครับ (สำหรับร้านเกมทั้งหลายอาจพิจารณา volume licencing ครับ) แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น สามารถพิจารณาได้ตามต้องการของเราครับ


(หมายเหตุ แต่หากไม่ซีเรียสมากนัก เมื่อเทียบราคากันแล้ว Laptop ที่มี Windows 10 OEM licence แถมมาด้วยกับเครื่องนั้น อาจจะถูกกว่าการที่เราซื้อเครื่องเปล่าแล้วไปซื้อ Windows 10 OEM/ FPP licence มาใส่เองด้วยซ้ำไปครับ แต่ถ้าเรา build desktop เอง การเลือกซื้อ Windows ก็เป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ครับ)


Thursday 16 March 2017

วิธีง่ายๆ ในการปิด Notification ชั่วคราวใน Windows 10 โดยเฉพาะเวลา Present งานลูกค้า



สวัสดีครับ เพื่อนๆ ที่ใช้ Windows 10 มาซักพักนึง น่าจะคุ้นเคยกับแผง action centre ทางด้านขวาของหน้าจอเป็นอย่างดี การที่มี action centre นั้น จะทำให้เรา App ต่างๆ ที่เราลงไว้ใน Windows 10 สามารถทำตัวได้คล้าย App ในมือถือของเรา คือ มันจะสามารถส่งเสียงหรือข้อความมาบอกเราได้โดยตรง ซึ่งถ้ามันเด้งขึ้นมามาในระหว่างที่เรากำลังดูหนังฟังเพลงเล่นเน็ตก็คงไม่ซีเรียสอะไรมากมาย แต่ถ้ามันเด้งในระหว่างที่เรากำลัง Present งานสำคัญกับลูกค้าล่ะก็ คงจะดูไม่จืดเลยทีเดียว


ลองนึกตามดูนะครับ ว่ามีเพื่อนร่วมงานส่งไลน์มาถามว่า ลูกค้าจู้จี้คนนั้นชอบงานของเราหรือไม่ - และข้อความนั้น ก็เด้งขึ้น projector ให้ลูกค้าได้เห็นเองเลยเต็มๆ 😵

ดังนั้น ผมคิดว่ามาแชร์ความรู้ง่ายๆ กันซักนิดนึงเรื่องวิธีการปิด notification นะครับ มีสองวิธีง่ายๆ ด้วยกัน ซึ่งอาจบางคนอาจใช้แค่แบบเดียว แต่บางคนอาจต้องใช้ทั้ง 2 แบบก็เป็นได้ ดังนี้ครับ
  1. การปิด Notification แบบ auto ขณะที่เรา Duplicate หน้าจอ
  2. การปิด Notification แบบ manual

การปิด Notification แบบ auto ขณะที่เรา Duplicate หน้าจอ

  1. ไปที่ Settings
  2. เลือก Systems
  3. เลือก Notifications and Actions
  4. เลื่อนปุ่มตั้งค่า "Hide notifications when I'm duplicating my screen" ไปทางขวา (ตามรูป)
อันนี้ผมแนะนำว่า ใครก็ตามที่ต้องมีการต่อจอออก projector น่าจะต้องเปิดไว้นะครับ กันพลาด


การปิด Notification แบบ manual

  1. ไปที่ Action centre โดยการ swipe หน้าจอจากขอบจอทางขวามือ (กรณีมี touch screen) หรือเลือกปุ่ม Action centre ที่มุมล่างขวาของ taskbar
  2. กดปุ่ม Quiet hours
  3. ไอคอนของ action centre จะเปลี่ยนไปโดยมีรูปพระจันทร์เสี้ยวเล็กๆ อยู่ด้วย เพื่อแสดงว่ากำลังอยู่ใน Quiet hours mode นะ
อันนี้คงต้องฝึกไว้ให้เป็นนิสัยกันล่ะครับเพราะมัน manual หรือใครที่ใช้คอมพิวเตอร์ในการทำงานเป็นหลักจะปิดไว้เลยก็ไม่ว่ากัน


Sunday 5 February 2017

ทำความเข้าใจกับ Intel Core i3, Core i5, Core i7 ว่าจะเลือกใช้อะไรดี

สวัสดีครับ เพื่อนๆ หลายคนที่เคยซื้อ หรือกำลังจะซื้อคอมพิวเตอร์จะต้องเคยนึกงงกันบ้างไม่มากก็น้อยว่าควรเลือกคอมพิวเตอร์ (Desktop/ Laptop/ Tablet/ etc) ที่ใช้ CPU อะไรดี เพราะมีให้เลือกมากมายหลายหลาก แถมมีเลขอะไรก็ไม่รู้เยอะแยะ ชวนให้งง ครั้นจะเลือกเองก็กลัวเลือกผิด ส่วนมากก็จะใช้วิธี "ถาม" เพื่อให้ผู้รู้ (หรือผู้คิดว่าตัวเองรู้) ทั้งหลายทำการ "ชี้เป้า" วันนี้ผมเลยอยากแชร์วิธีการพิจารณาด้วยตัวเองในเบื้องต้นดูครับ

วันนี้จะเน้นไปที่ตระกูล Core i นะครับ ซึ่งในปัจจุบัน Intel ได้รวม Core M เข้าไปในตระกูล Core i แล้ว (เพราะ Core M ชื่อเสียงไม่ค่อยดี ทำอะไรไม่เนียนเลย พับผ่าสิ) ส่วนพวก Atom นั้นเหมือนจะโดน Intel ทอดทิ้ง และอยู่คนละกลุ่มชัดเจน เลยขอละไว้ก่อนในฐานที่เข้าใจ


Intel Core i3, Core i5, Core i7

จริงๆ แล้วทั้งสาม Series มีรายละเอียดที่ต่างกันเยอะมาก วันนี้ผมไม่ได้ต้องการจะลงลึกไปมากนัก (เพราะคนที่รู้ก็คงรู้อยู่แล้ว)  แต่โดยสรุปแล้วต่างกันประมาณนี้ครับ




  • Core i3 คือ Dual-core processors with hyper-threading.
  • Core i5 คือ Quad-core processors without hyper-threading.
  • Core i7 คือ Quad-core processors with hyper-threading.
  • (ที่มา: windowscentral)

    นอกจากนี้ ที่สำคัญ คือ Core i3 นั้นไม่รองรับเทคโนโลยี Turbo Boost ของ Intel ทำให้จะทำงานบางอย่างได้ไม่ดีเท่า ทำให้ Core i3 นั้นเหมาะกับคนที่ไม่ต้องการใช้งานหนักมาก ซึ่งถ้าจะว่ากันจริงๆ Intel ใส่ hyper-threading มาให้ใน Core i3 ก็ทำให้มันสามารถรองรับงานหนักได้ระดับหนึ่งเหมือนกันครับ ถ้าจะใช้งานพวก Email, MS Word, Social app ต่างๆ, เล่น internet หรือเล่นเกมทั่วๆ ไปนั้น Core i3 ก็เพียงพอเหลือแหล่แล้วครับ ไม่ต้องเผื่อ เพราะนานๆ ใช้ทีอาจจะไม่คุ้มกับเงินที่เสียเพิ่มไปครับ

    ส่วน Core i5 นั้นเป็นแบบ Quad-core ที่ไม่มี hyper-threading การที่มี 4 Cores นั้นทำให้ Core i5 ทำงานได้ตามที่ Windows ของเราต้องการได้ดีขึ้นอีกเยอะมาก ทำให้ Core i5 นั้นเหมาะกับงาน Productivity และการเล่นเกมส่วนใหญ่ ถ้าการใข้งานของเราประมาณนี้ Core i5 ก็พอแล้วครับ เอางบที่เหลือไปลงกับ GPU, RAM, SSD จะดีกว่า

    แต่สำหรับคนที่ใช้งานหนักกว่าคนทั่วไป เช่น คนที่ต้องตัดต่อวีดีโอ หรือรูปภาพ หนักๆ คงยินดีที่จะเลือก Core i7 กันอยู่แล้ว เพราะเวลาประมวลผล/ render ที่น้อยลง จะทำให้ทำงานได้เร็วทันใจขึ้นมาก เพราะมี hyper-threading ที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพให้สูงขึ้นไปอีก อ้อ สำหรับงานสายโหดที่ Core i7 ธรรมดาเอาไม่อยู่ ผมอยากบอกว่า Intel มี Core i7 ที่มี 6 cores, 8 cores, หรือ 10 cores ให้เลือกหากันด้วยนะครับ



    ตัวเลขรุ่นด้านหลัง Core i ทั้งหลายล่ะ หมายความว่าอย่างไร?
    เชื่อว่าหลายๆ คนถ้าแค่ดูรหัสคงดูไม่ออกว่า Core i5-6400 กับ i5-7600K นั้นต่างกันอย่างไร ซึ่งเราสามารถดูได้ง่ายๆ ดังนี้ครับ

    Core i5-ABBBC

    Aคือ generation ครับ i5-6400 ก็คือ 6th generation ส่วน i5-7600K ก็คือ 7th generation หรือเป็นรุ่นใหม่กว่านั่นเอง

    BBB คือ ความแรงของรุ่นนั้นๆ เมื่อเทียบกับ processor ในรุ่นเดียวกัน เช่น i5-7600 จะแรงกว่า i5-7500 ครับ

    ส่วน C นั้น เป็นการบอกถึงลักษณะเฉพาะของ processor นั้นๆ เช่น



  • H - High-performance graphics
  • K - Unlocked for overclocking
  • Q - Quad-core (four physical cores)
  • T - Optimized for efficient desktop computing
  • U - Ultra low power, usually found on laptop processors (slower than desktop chips)


  • เพิ่มเติมสำหรับ Intel Core i5 & i7 ใน 7th generation นี้ Intel จงใจทำให้เรา "งง" ซึ่งผมคิดว่ามันเป็นเรื่องที่ไม่ดีเลย โดยเฉพาะการนำเอา Core M มารวมเข้ากับ Core i ใน 7th generation นี้นะครับ (เข้าใจว่าเกิดจากการที่มันไม่ค่อยได้รับความนิยมมากนัก และมีความเข้าใจว่าประสิทธิภาพของมันไม่ดีนัก - ซึ่งก็จริง) โดยจะมีรหัส Y อยู่ในรหัสตัวที่ 2 เช่น Core i5-7Y54, Core i7-7Y75

    ดังนั้น ถ้าเราเห็น Laptop core i5-7Ybb ขึ้นมา ให้พึงระวังไว้ ว่าคุณกำลังซื้อ Core M5 นะครับ ที่แย่กว่านั้น ถ้าคุณจะซื้อ Core i7-7Ybb แล้วล่ะก็ คุณกำลังซื้อ Core M7 ซึ่งแน่นอนว่า ประสิทธิภาพจะต่างจากที่คุณคาดไว้ลิบลับเลยทีเดียว


    Sunday 22 January 2017

    ปรับแต่งการใช้งานบน Battery ใน Windows 10 ให้ใช้งานได้นานขึ้น - ปรับการทำงานเบื้องหลัง

    สวัสดีครับ เพื่อนๆ ที่ใช้ Windows 10 Laptop/ Tablet/ 2-in-1 แล้วรู้สึกว่า "แบตหมดเร็ว" วันนี้ผมมี Tips เล็กๆ น้อยๆ มาฝากกันครับ

    ก่อนอื่น ขอบอกก่อนนะครับว่าวิธีการทำให้ Battery ใช้ได้นานขึ้นใน Windows 10 นั้น ขึ้นกับปัจจัยหลายอย่างมาก ตั้งแต่ hardware ที่มี, Windows 10 version ต่างๆ กัน, Programme/ Game/ App ที่ลงไว้ในเครื่อง ซึ่งเอาจริงๆ คงจะไม่มีสูตรสำเร็จเพียงสูตรเดียวที่จะช่วยได้ ครั้งนี้ผมเลยจะขอเขียนถึงการปรับทำงานเบื้องหลัง ซึ่งหลายๆ คน อาจจะไม่ทราบว่ามันมีผลพอสมควรทีเดียว

    การปรับการทำงานเบื้องหลังของ Windows 10 Anniversary Update (version 1607)

    หลังจาก Windows 10 Anniversary Update นั้น การปรับการทำงานเบื้องหลังใน Settings มีอยู่ 2 ที่ครับ (เอาจริงๆ มันควรมีที่เดียวนะ รอดูกันต่อไปครับว่า Microsoft จะเปลี่ยนตรงนี้หรือไม่)
    1. ปรับใน Battery Settings
    2. ปรับใน Background apps Settings

    การปรับการทำงานเบื้องหลังใน Battery Settings

    1. กด Settings
    2. เลือก System
    3. เลือก Battery
    4. เลือก Battery usage by app ซึ่ง Windows 10 จะคำนวณแอพที่ใช้ปริมาณแบตเตอรี่ของเรา
    5. เลือกว่าจะให้แสดง แอพที่มีการใช้, แอพที่มาจาก store ทั้งหมด, หรือแอพที่เราเคยเลือกให้ทำงานเบื้องหลังได้ตลอดเวลา
    6. จากนั้น เลือกแอพที่เราต้องการปรับตั้งค่า โดยควรเริ่มพิจารณาจากแอพที่มีการใช้งานสูงๆ ก่อน (ในที่นี้ผมเลือก Facebook เพราะทุกคนรู้จัก :D) Windows 10 จะคำนวณให้ว่าแอพดังกล่าวใช้แบตของเรากี่ % จากการใช้งานของเรา (in use) และกี่ % จากการทำงานเบื้องหลัง (background)
    7. เราสามารถเลือกได้ว่าเราจะให้แอพนั้นๆ สามารถทำงานเบื้องหลังได้มากนั้นขนาดไหน
      1. Always allow - แอพจะทำงานเบื้องหลังได้ตลอดแม้ว่าจะเปิด "Battery saver mode"
      2. Managed by Windows - ให้วินโดวส์จัดการให้ อันนี้ไม่เคลียร์ แต่เท่าที่ดู เข้าใจว่า เวลาปกติ แอพจะทำงานเบื้องหลัง แต่ถ้าเปิด "Battery saver mode" แอพจะหยุดทำงานเบื้องหลัง
      3. Never allowed - แอพจะไม่สามารถทำงานเบื้องหลังได้ (ประหยัดพลังงานที่สุด)


    การปรับการทำงานเบื้องหลังใน Background apps Settings

    1. กด Settings
    2. เลือก Privacy
    3. เลือก Background apps
    4. Windows จะมีรายการ App ทั้งหลาย พร้อมทั้งสถานะว่าแอพนั้นๆ ได้รับอนุญาตให้ทำงานเบื้องหลัง (รับส่งข้อมูล, แจ้งเตือน เป็นต้น) โดยหากเราไม่อยากให้แอพนั้นๆ ทำงานเบื้องหลัง (ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลเรื่องความปลอดภัย หรือเรื่องแบตเตอรี่) เราสามารถปิดมันได้ตรงนี้ด้วยครับ


    เพียงเท่านี้ เราก็จะสามารถควบคุมการทำงานของแอพต่างๆ ในเบื้องหลังให้เป็นไปตามที่เราต้องการ และหวังว่าจะช่วยยืดอายุแบตเตอรี่ออกไปอีก ไม่มากก็น้อยครับ

    จะเห็นได้ว่า กระบวนการนี้ ใช้ได้กับ App/ Programme ที่เราโหลดจาก Windows Store เป็นหลักนะครับ นั่นหมายว่า ใน Windows 10 นี้ การใช้ Windows store app จะช่วยให้เราบริหารการใช้แบตเตอรี่ได้ด้วยตัวเรานะครับ ใครที่อยากให้ battery ใช้ได้นานๆ ควรใช้ Windows store app แทนที่ App/ programme ปกตินะครับ














    Tuesday 10 January 2017

    ความแตกต่างของความจุ Drive ต่างๆ ระหว่างหน้ากล่องและที่แสดงใน Windows

    สวัสดีครับ หลายๆ ท่านอาจจะสงสัยว่าทำไมเวลาเราซื้อ Hard disk, Flash Drive หรือ Micro SD card นั้นพอเราเปิดดูมันใน Windows 10 (จริงๆ เป็นเหมือนกันทุก Windows ครับ) จะเห็นว่า Drive ที่เราซื้อมานั้นมีขนาดเล็กกว่าที่เขียนไว้ข้างกล่อง บางทีพื้นที่หายไปก็มากอยู่ เราโดนหลอกหรือไม่ วันนี้ผมมีที่มาที่ไป และวิธีคำนวณง่ายๆ มาให้ดูกันครับ

    ความจุของ Drive บนฉลาก
    ความจุของ Drive ที่แสดงบน Windows
    ถ้าเราอ่านละเอียดๆ จะเห็นว่าผู้ผลิต Drive ต่างๆ จะมีเขียนตัวเล็กๆ ว่า 1 GB = 1,000,000,000 bytes ซึ่งหมายถึงการใช้เลขฐานสิบ (Decimal) ที่เราคุ้นเคยในชีวิตประจำวันมาโฆษณาความจุของ Drive ที่เราซื้อ

    สำหรับการแสดงความจุของ Drive ต่างๆ บน Windows นั้น จะใช้เลขฐานสอง (Binary) ซึ่งคอมพิวเตอร์ใช้มาตั้งแต่ยุคแรกๆ เนื่องจากคอมพิวเตอร์มองทุกอย่างเป็น 0 และ 1  ดังนั้น
    1 Kilo byte จึงเท่ากับ 2^10 = 1024 bytes
    1 Mega byte จึงเท่ากับ 2^20 = 1024 x 1024 = 1,048,576 bytes
    1 Giga byte จึงเท่ากับ 2^30 = 1024 x 1024 x 1024 = 1,073,741,824 bytes

    ดังนั้น สำหรับหน่วยความจำขนาด 1 GB จะเห็นว่าจะมีผลต่างอยู่ที่ 73,741,824 bytes เมื่อแสดงผลบน Windows นั่นเองครับ

    ซึ่งนั่นจะทำให้ Windows คำนวณออกมาว่าหน่วยความจำขนาด 32 GB ที่ระบุโดยผู้ผลิตนั้น จะแสดงผลออกมาเป็น 32,000,000,000 / 1,073,741,824 = 29.8 GB พอดีเป๊ะอย่างในรูปด้านบนครับ

    เรื่องแสดงผลต่างกันนี่มีมาหลายสิบปีแล้วครับ ตอนนี้คงต้องทำความเข้าใจไปก่อน

    มีตลกฝรั่งสมัยก่อนบอกว่าความแตกต่างของโปรแกรมเมอร์มือใหม่และโปรแกรมเมอร์มือโปร นั้น คือ มือใหม่นั้นเชื่อว่า 1 kilobytes เท่ากับ 1000 bytes ส่วนมือโปรนั้นเชื่อว่า 1 kilometre เท่ากับ 1024 metres 😋