สวัสดีครับ
วันนี้ผมจะขอมาพูดถึง dark mode สำหรับแฟนๆ
Windows 10 สายดาร์ก (ผมเอง ^^)ว่ามันมีอะไรใหม่ๆ เข้ามาเยอะมาก และทำให้ประสบการณ์การใช้งาน Dark mode นั้น เนียนกว่าเดิมมาก และมันมาพร้อมๆ
กัน ไม่ว่าจะเป็น Windows 10 v1809, Office 365, Outlook
web app เรามาดูกันดีกว่าครับ
Dark mode - ทำไมต้องสายดาร์ก
Windows
10 นั้นออกแบบมาเพื่อรองรับเทคโนโลยีการแสดงผลในหน้าจอสมัยใหม่
ที่คมชัด มี contrast สูงๆ
สีดำจะดำสนิท สีขาวจะขาวจั๊วะ และหน้าจอก็สว่างมากกว่าสมัยก่อนมาก อย่าง IPS LCD หรือ AMOLED ซึ่งข้อดีของหน้าจอเหล่านี้ คือ ความคมชัด และสีสันตรงความจริง
อย่างไรก็ตาม หากใช้งานในที่แสงค่อนข้างน้อยเป็นเวลานาน หลายๆ
คนจะพบว่ามันทำให้ปวดตา ตาพร่า ก็ว่าไป จึงเป็นที่มาของการพยายามสร้าง Dark mode ขึ้นใน Windows
10 ตั้งแต่ไหนแต่ไร อย่างไรก็ตาม Dark
mode ของ Windows 10 นั้น เป็นที่รู้กันว่ามัน "ครึ่งๆ กลางๆ" มากมาย อย่างเช่น File explorer ที่ยังคงขาวจั๊วะน่าเจี๊ยะมาหลายปี
เป็นต้น
อย่างไรก็ตาม
ทุกสิ่งได้เปลี่ยนไป ในปลายปี 2018 นี้กับ
Windows 10 v1809, Office 365, Outlook web app เป็นอย่างไรบ้างเรามาดูกันดีกว่าครับ
Windows Explorer Dark mode
ใน Windows 10 v1809 นี้ หากเราตั้งค่าให้ Windows 10 ของเราเป็น dark
mode >อ่านวิธีที่นี่<Windows จะเปลี่ยน File explorer ของเราให้เป็น
Dark mode อย่างสมบูรณ์
ซึ่งผมได้ลองใช้แล้วพบว่าไม่เลวเลยทีเดียวสำหรับ version แรก ไอคอนต่างๆ และตัวอักษรมองเห็นได้ชัดเจน (เรื่องนี้สำคัญมาก dark mode ที่ไม่ดีจะปวดตากว่าเดิม)แต่ยังรู้สึกว่าเป็น dark
mode ที่ 'too colourful' ไปสักหน่อยเมื่อเทียบกับ dark mode ในส่วนอื่นๆของ Windows
Office 365Black theme
หากใครใช้
Office 365 คงได้รับ update นี้กันไปแล้วนะครับ เป็น version ใหม่ (ผมเข้าใจว่ามัน คือ Office 2019 - หากผิดท้วงติงได้เลยครับ)
ซึ่งมี Home page ใหม่ที่ดูง่ายขึ้น
และ optimised ให้เหมาะกับ touch screen มากขึ้นอีกด้วย ส่วนตัวผมคิดว่า Dark mode (เรียกว่า Black
theme ครับ)
นี้ทำออกมาดีมาก เพราะทำออกมาเป็นสีเข้มมาก และตัวอักษรสีขาว บวกกับ theme สีเอกลักษณ์ตามโปรแกรมนั้นๆ เช่น Word สีน้ำเงิน Excel สีเขียว Powerpoint สีส้ม
เป็นต้น
Windows Central เลือกที่จะ review Surface Go โดยเน้นการใช้งานนอกสถานที่เป็นหลัก
ซึ่งผมนับว่าเป็น use case หลักของ Surface Go เลย
โดยให้ความเห็นว่าการใช้งานเป็นที่น่าพอใจมาก และทำให้วินโดวส์นั้น "Fun to use"และหากเทียบ benchmark กับ Surface 3 แล้ว จะพบว่าประสิทธิภาพดีกว่าถึง 2 เท่า และสามารถเล่นเกมส์ทั่วๆ ไปได้บ้าง
และการที่ CPU ไม่มี turbo boost นั้น ทำให้ battery
life ทำได้ใกล้เคียงกับที่ Microsoft
ระบุไว้ คือ 9 hr มากกว่าเดิม โดยในรีวิวนี้ระบุว่า อยู่ได้ถึง 7-8
hr เลยทีเดียว
นอกจากนี้ ยังตอบคำถามเรื่อง Windows Hello face
recognition ว่าสามารถใช้ใน portrait
mode ได้ด้วยครับแต่แนะนำให้ทำการ improve recognition สักสองสามครั้งทั้งใน landscape / portrait mode
อย่างไรก็ตาม Daniel Rubino ไม่แนะนำให้ advance user ใช้
Surface Go เป็นเครื่องหลักนะครับ
เพราะมันไม่แรงเท่าไหร่และหน้าจอเล็ก
แต่แนะนำให้เป็นเครื่องรองเพื่อใช้งานนอกสถานที่ครับ
Review of Surface Go 4-64
Windows Central เลือกที่จะ "ซื้อ" Surface Go 4-64 มาเพื่อ review เองเลย โดยใช้รุ่นนี้ในการใช้ Photoshop Elements ใช้ Edge
browser โดยเปิดหลายๆ tabs เล่นเกมแบบปรับ graphic ต่ำๆ
อย่างไรก็ตาม ในวันที่ 28 August 2018 นี้ Intel ได้เปิดตัว Intel Core gen 8 ที่น่าสนใจมาก
เนื่องจากมีการฝัง integrated gigabit WIFI มาด้วยเลย โดยแบ่งเป็น U series และ Y series
เรามาดูกันครับว่ามีอะไรดีๆ
บ้าง
U series - i3, i5, i7 (i3-8145U, i5-8265U, i7-8565U) -
Codename: Whiskey Lake
Intel ระบุว่า U series ทั้งสามรุ่นนี้ออกแบบมาสำหรับ Laptop และ 2-in-1 โดยเฉพาะ
เพราะมันมีความพิเศษ คือ Intel ใส่ Integrated Gigabit WIFI มาด้วยเลย (ทำตัวคล้ายๆ ARM เข้าไปทุกวัน) ซึ่ง Gigabit
WIFI นี่ก็หมายความว่า PC ที่ใช้ชิพเซ็ทนี้จะสามารถรองรับ
WIFI ที่เร็วได้สูงสุดถึง 1 Gbps หรือ 1000 Mbps เลยทีเดียว ซึ่งใครที่มีเน็ทบ้านแรงๆ มี WIFI
router แรงๆ จะถูกใจมากทีเดียว
นอกจากนี้ชิพเซ็ทนี้ยังเป็นชิพเซ็ทที่ประหยัดพลังงานกว่าเดิม ซึ่ง PC ที่ใช้ชิพเซ็ทนี้อาจจะสามารถออกแบบให้ใช้งานบนแบตเตอรี่ได้นานถึง 16
- 19 hr
Y series - m3-8100Y, i5-8200Y, i7-8500Y - Codename:
Amber Lake
สามารถรองรับ Gigabit WIFI เช่นเดียวกับ
U series (แต่เข้าใจว่าไม่ได้ใส่มาให้ด้วยนะครับ)
และรองรับ eSIM รวมถึงจะทำให้ PC มีความแม่นยำของระบบสัมผัสและปากกา
สำหรับอุปกรณ์ที่มีระบบ touch and pen ที่ดีขึ้นกว่าเดิม นอกจากนี้ ชิพเซ็ทรุ่นนี้ยังทำให้สามารถออกแบบ PC ที่มีความบางกว่า 7
mm และเบากว่า 0.45 kg (1 pound) ได้เลยทีเดียว
Surface Go นั้น เป็นสมาชิกใหม่ล่าสุดของ Microsoft Surface Line ที่เริ่มวางขายกันในเดือนสิงหาคมนี้
วันนี้เรามาดูกันดีกว่าครับว่าเจ้า Surface Go นี้ เป็นอย่างไรกันบ้าง (ผมขออนุญาตไม่ลงตาราง Product
spec นะครับ หากันได้อยู๋แล้วแหละเนอะ จะเขียนถึงแหละครับ
แต่ไม่ทำเป็นตารางให้ เพราะมีอยู่แล้วเต็ม internet ครับ)
ทำไมหลายๆ คนถึงเรียกว่า Surface Go คือ Baby Surface Pro
Panos Panay ซึ่งเป็นผู้ดูแล Surface Product นั้นได้กล่าวถึงในคลิปว่า
ต้องการให้ Surface Go นั้น
มีทุกอย่างเหมือนกับ Surface Pro ใครอยากดูคลิปก็สามารถดูได้จากคลิปนี้นะครับ
คนที่ผมรู้จัก โดยเฉพาะเพื่อนต่างชาตินั้น เรียก Microsoft
Surface ว่าเป็น Top of the Line ofWindows Machine และสำหรับผมเอง
แม้ Surface Go จะเปิดตัวมาในราคาย่อมเยา
(ประมาณ 15,000 บาท)
แต่มาในคุณภาพที่ทุกคนต้องเหลียวมองจริงจัง
เพราะอะไรบ้างนั้น...
เราไปดูกันเลยครับ
10"
PixelSense Display
Surface Go มาพร้อมหน้าจอ PixelSense ขนาด 10 นิ้ว ที่ความละเอียด 1800 x 1200 pixel ที่ Colour calibrated มาแล้วจากโรงงาน
Kick stand นั้นเป็นจุดเด่นที่สำคัญของ Surface line และ Surface
Go ก็ได้นำ Surface Pro kick stand ที่สามารถกางออกได้ถึง 165 องศา
ที่จะช่วยให้ Surface Go ของเราเปลี่ยนเป็น
Studio mode ได้
อ้อ Kick stand นี้เป็น Unlimited position kick stand ด้วยนะครับ
คือจะเปิดไว้ที่กี่องศาก็ได้หมด ปรับแต่งได้ตามที่เราชอบ
Best Pen Experience ปากกาใช้ดีตลอดปี ไม่เสียเวลาชาร์จ
Surface Go นั้น มีหน้าจอ touch screen ที่รองรับ pen
input โดยสามารถรองรับความละเอียดได้ถึง 4,096 ระดับ และรองรับ tilt
detection เช่นเดียวกับ Surface Pro ครับ
นอกจาก Type Cover จะทำให้แป้มพิมพ์ของเราสูงต่ำช่วยในการพิมพ์แล้ว
ใครจะรู้ว่าเจ้า Type Cover บางๆ
นี้ ได้ออกแบบมาให้ทุกๆ ปุ่มบนแป้นพิมพ์มีระยะกดถึง 1 mm ซึ่งจัดว่ามากกว่า MacBook Pro ที่เครื่องใหญ่กว่าหนากว่าเสียอีก การที่มีระยะกด 1 mm นี้ จะช่วยให้การพิมพ์มีการตอบสนองที่ดี
และการผิดพลาดน้อยลงครับ
อ้อ Microsoft อธิบายว่าปุ่มของ
Surface Go Type Cover เป็น Moving (Mechanical) keys ด้วยนะครับ
RAM up to 8 GB, Storage up to 128 GB SSD หมดยุคเครื่องเล็กสเปคต่ำ
สวัสดีครับ หลายๆ ท่านที่มีคอมที่มีการ์ดจอแยกน่าจะทราบกันดีว่า บางครั้ง Windows ก็ไม่หวังดีกับเรา ดันไปใช้การ์ดจอ on board ในการรันโปรแกรมหรือเกมซะงั้น ก็หงุดหงิดกันไป ถ้าเป็นสมัยก่อน อาจจะต้องใช้โปรแกรมเข้ามาช่วยปรับแต่ง (เช่น NVIDIA experience) นั่นเอง ซึ่งหากใครไม่รู้ ก็จะงงๆ กันต่อไป
แต่วันนี้ หากเราใช้ Windows 10 April 2018 update หรือ version 1803 แล้ว เราสามารถบังคับให้ Windows 10 ทำได้ง่ายๆ ตามวีดีโอนี้เลยครับ มันสามารถเลือกได้เป็นรายเกม/ โปรแกรมเลยนะครับ ว่าจะบังคับให้ใช้การ์ดจอแยก (dGPU) หรือ การ์ดจอ on board