Search this site

Sunday, 10 November 2019

ทำความรู้จักกับ Surface Pro 7


Surface Pro 7 นั้น เป็นสมาชิกใหม่ (ที่คุ้นเคย) ของ Microsoft Surface Line ที่เริ่มวางขายใน US ตั้งแต่ช่วงปลายเดือนตุลาคม วันนี้เรามาทำความรู้จักกับ Surface Pro 7 กันดีกว่าครับ (ผมขออนุญาตไม่ลงตาราง Product spec นะครับ หากันได้อยู๋แล้วแหละเนอะ จะเขียนถึงแหละครับ แต่ไม่ทำเป็นตารางให้ เพราะมีอยู่แล้วเต็ม internet ครับ)

การจะทำความรู้จักกันนั้น ก็ต้องเริ่มจากวีดีโอเปิดตัวกันก่อนเลย



More from the Pro you know

คนที่ผมรู้จัก โดยเฉพาะเพื่อนต่างชาตินั้น เรียก Microsoft Surface ว่าเป็น Top of the Line of Windows Machine ผมเองเห็นด้วยกับคำนี้อย่างจริงจัง และคิดว่า Surface Product นั้น จะมาพร้อมคุณภาพที่ทุกคนต้องเหลียวมองอย่างจริงจัง

แม้ว่าเปิดตัวมาแทบจะไม่มีอะไรต่างไปจากเดิมเลย แต่นั่นเพราะ theme ของ Surface Pro 7 นั้น คือ Surface Pro ที่เราคุ้นเคย แต่แรงขึ้น พร้อมใช้ตลอดเวลา และทำอะไรได้หลากหลายมากขึ้น อะไรที่เหมือนๆ เดิม ผมจะขอข้ามไปนะครับ
ลองดู Surface ใน Lazada

แต่จะมีอะไรบ้างนั้น... เราไปดูกันเลยครับ

I/O เดิมที่เจ๋งขึ้น และ I/O ใหม่สารพัดประโยชน์



Surface Pro 7 นั้นมาพร้อม Surface Connect+ port, USB type C (3.1 gen 2), microSD card slot และ USB type A โดยที่แถมหัวชาร์จแบบ Surface Connect มาด้วย ซึ่งจะทำให้เราสามารถชาร์จไปและใช้งาน USB-C ไปด้วยพร้อมกันได้ และยังรองรับการชาร์จผ่าน USB-C ก็ได้อีกด้วย เผื่อไม่อยากพก Charger หลายๆ อัน (แต่ USB-C charger ต้องรองรับ Power Delivery Standard นะครับ)

ส่วน USB-C นั้น นอกจากใช้ชาร์จแล้ว ก็ยังใช้งานได้สารพัดตามประสา USB-C ไม่ว่าจะเป็น storage, display, Ethernet, etc. สารพัดประโยชน์มากๆ ครับ

Surface Pro 7 นั้นเป็นเพียง Surface หนึ่งเดียวที่เปิดตัวมารอบนี้แล้วยังมี microSD card slot อยู่ ซึ่งการมี MicroSD card slot ใน Surface Pro/ Go นั้นสำคัญมากสำหรับในการที่จะใช้เพิ่ม storage ให้กับตัวเครื่องในราคาไม่แพงนะครับ ถ้าบางคนชอบใช้ microSD card แบบผมก็คงจะเข้าใจ

Quad-core 10th gen Intel Processor 



สำหรับ CPU นั้น Surface Pro 7 จะมาพร้อมกับ 10th gen Core i3, i5 และ i7 จาก intel ซึ่งเมื่อดูสเปคอย่างละเอียดแล้วจะพบว่า Surface team เลือกใช้ chip ที่แรงน้อยกว่า 10th gen Core i5 และ i7 ที่อยู่ใน Surface Laptop 3 เล็กน้อย ซึ่งแม้จะทำให้มีประสิทธิภาพที่ด้อยกว่าอยู่สักหน่อยแต่ก็สามารถทำให้รุ่น Core i5 นั้น เป็น passive cooling หรือ "ไม่มีพัดลม" นั่นเอง

การไม่มีพัดลมนี้มันดียังไง? เพื่อนๆ ที่อ่านบทความที่ผมเขียนเรื่อง "ฝุ่น คือ ศัตรู" ใน Surface Laptop 3 part 2 แล้วน่าจะถึงบางอ้อ ว่าผมคงแนะนำรุ่น Core i5 แน่ๆ... ก็ตามนั้นครับ ผมเกลียดฝุ่น... โดยเฉพาะฝุ่นในเครื่องที่ถอดทำความสะอาดไม่ได้



สิ่งที่น่าตื่นเต้นก็คือ การที่ 10th gen Intel chips นี้ มีประสิทธิภาพที่สูงมาก ถ้าจะพูดให้ฟังง่ายๆ แบบไม่ซับซ้อนก็คือ Core i5 ใน Surface Pro 7 นั้นแรงกว่าเร็วกว่า Core i7 ใน Surface Pro 6 เสียอีก ดังนั้น Core i5 ที่มาพร้อมกับ Iris Plus Graphics ก็จะยิ่งแรงหนักเข้าไปอีกครับ แรงกว่า UHD 620 ใน Pro 6 เป็นเท่าตัวครับ
ลองดู Surface ใน Lazada

รองรับ WIFI 6 มาตรฐานแห่งอนาคต

การที่ Surface Pro 7 นั้นใช้ 10th gen intel chip นั้น ก็จะทำให้รองรับ WIFI 6 & Bluetooth 5.0 ซึ่งมาตรฐานใหม่ทั้งสองนี้ ได้ถูกเพิ่มเข้ามาใน Smartphone รุ่นใหม่ๆ กันบ้างแล้ว ซึ่งมันจะทำให้ Surface Pro 7 สามารถทำงานกับอุปกรณ์ใหม่ๆ เหล่านี้ได้อย่างไร้ที่ติ

ไว้ถ้าผมมีเวลาจะมาเขียนเรื่อง WIFI 6 ให้อ่านกันนะครับ

Studio microphones เสริมความดีงามให้ video call



สำหรับแฟนๆ Surface Pro นั้น น่าจะคุ้นเคยกันดีกับ web cam ที่สามารถถ่ายวีดีโอที่ความละเอียด Full HD (1080p) ได้ทั้งกล้องหน้าและกล้องหลัง ซึ่งเมื่อเทียบกับ laptop ด้วยกันแล้วนับว่า ดีกว่า 720p ใน laptop ต่างๆ มาก (Macbook ก็ให้มาแค่ 720p นะครับ) ใครที่เคย video call (เช่น skype หรืออื่นๆ) ผ่าน Surface Pro น่าจะทราบกันดีนะครับ

Surface Pro 7 นั้น มาพร้อมกับ Far field studio microphones 2 ตัวที่จูนมาสำหรับ video call โดยเฉพาะ ทำให้เสียงชัด แม้จะยืนพูดห่างๆ จากตัวเครื่องก็ตาม ซึ่งนี่จะทำให้ Surface Pro 7 จะยังคงเป็นผู้นำในเรื่อง video call ต่อไปยาวๆ (เทียบเคียงกับ Pro X แล้วกันครับ)

Keyboard ที่ดีที่สุดในตระกูล 2-in-1



หนึ่งใน Unique Selling Point ของ Surface Pro ก็คือ การมีคีย์บอร์ดที่ยอดเยี่ยม ไม่ว่าจะเป็นการตอบสนอง และ key travel ที่เหมาะสม และใน Pro 7 นี้ก็ยังมาพร้อมกับ Scissors switch backlit keyboard ที่จะมอบประสบการณ์ในการพิมพ์ที่ยอดเยี่ยม อ้อ... มีคนลองใช้แล้วบอกว่ามันเงียบขึ้นด้วยนะครับ

Keyboard นี้ ใครเคยใช้พิพ์งานแบบจริงจัง จะทราบว่า มันดีมากจริงๆ พวก 2-in-1 อื่นๆ เทียบไม่ติดเลย ยิ่งเทียบกับ iPad keyboard ยิ่งแล้วใหญ่ ใครเคยใช้คงจะพอเข้าใจ ผมไม่ไหวจะเคลียร์กับ iPad keyboard จริงๆ นะครับ

Instant On เปิดปุ๊บเข้าปั๊บ ใช้งานต่อได้ไม่ต้องรอ



Surface team นั้น ประสบความสำเร็จในการทำให้ Intel chip ใน Surface Pro 7 นั้น สามารถมีคุณสมบัติในรูปแบบเดียวกับ Smartphone อย่างหนึ่ง คือ Instant On 

ซึ่งลักษณะการใช้งานนี้จะคล้ายกับ Surface Pro X และ Smartphone ทั้งหลาย คือ "ไม่ต้อง shut down" อีกต่อไป แค่ปิดหน้าจอ (sleep) ไว้ก็พอ และเมื่อเปิดเครื่องออกมา Windows จะเปิดหน้าจอกลับขึ้นมาและทำการปลดล็อคด้วย Windows Hello ทันทีโดยเราไม่ต้องทำอะไร

มันช่างเหมาะกับคนยุคใหม่เสียจริง ^^~

Surface Pro ที่เพอร์เฟค ก่อนที่จะ major change ในปีหน้า



สำหรับผมแล้ว นี่คือ Surface Pro ที่ผมกล้าบอกได้เลยว่ามันเพอร์เฟคที่สุดแล้ว สำหรับการนำมาใช้เป็น Ultrabook/ notebook replacement เพราะมันมีมาให้ครบทั้ง USB-C, Instant On, WIFI 6, 10th Gen Intel CPU ที่ซื้อมาแล้วไม่ผิดหวังแน่นอนครับ
ลองดู Surface ใน Lazada

ซึ่งนักวิเคราะห์ในต่างประเทศคาดกันว่า นี่จะเป็นรุ่นสุดท้ายที่จะมาในรูปลักษณ์แบบนี้ ก่อนที่จะเปลี่ยนไปเป็นรูปลักษณ์ที่คล้ายกับ Surface Pro X ในปีหน้าครับ

วันนี้พอเท่านี้ก่อนครับ ไว้ผมจะหาเวลามาสรุป Performance ของ Surface Pro 7 ให้อ่านกันนะครับ

Friday, 8 November 2019

ทำความรู้จักกับ Surface Laptop 3 - 13.5" & 15" part 2

สวัสดีครับ วันนี้มาต่อกันกับการทำความรู้จัก Surface Laptop 3 กันนะครับ ต้องแบ่งเป็นสองตอนอีกแล้ว เพราะมันก็มี features ที่น่าสนใจไม่น้อย ทำให้จะรวมไว้เป็นหน้าเพจเดียวก็จะดูยาวเกินไป เอาเป็นว่า สามารถหาอ่าน part 1 ได้ที่นี่นะครับ

>>ทำความรู้จักกับ Surface Laptop 3 Part 1<<

ว่าแล้วก็เริ่มกันต่อดีกว่าครับ ว่ายังมีอะไรเด็ดๆ อีกบ้าง

เลือกขนาดหน้าจอ 13.5" และ 15"



Surface Laptop และ Surface Laptop 2 นั้น จะมีแต่รุ่น 13.5" เท่านั้น แต่ใน Surface Laptop 3 นั้น จะมีรุ่น 15" เข้ามาเป็นตัวเลือกด้วย โดยยังคงคอนเซ็ปท์เหมือนเดิมนะครับ คือ เป็น Vanilla ultrabook experience โดยไม่ได้มี dedicated GPU เข้ามาเกี่ยวข้อง


ส่วนตัวผมแล้ว คิดว่า 15" นั้นใหญ่เกินไป แต่มันก็จะเหมาะอย่างยิ่งกับงานหลายๆ อย่างที่ต้องเปิดมากกว่า 1 หน้าต่าง พร้อมๆ กันนะครับ เพราะมีพื้นที่ทำงานเพิ่มขึ้นเยอะเลย สำหรับความแตกต่างของรุ่น 15" นั้น ผมได้สอดแทรกเอาไว้เป็นหมายเหตุตลอดบทความอยู่แล้วนะครับ
ลองดู Surface ใน Lazada

ซ่อมได้แล้วจ้า กับ Modular design

ผมคิดว่าเรื่องนี้สำคัญไม่น้อยสำหรับคนที่คิดจะซื้อ Laptop มาใช้ เพราะผมเอง เวลาจะเลือก laptop ก็มักจะพิจารณาว่าเราจะ maintenance มันได้ยังไง

**ฝุ่น คือ ศัตรู**

นอกเรื่องนิดครับ... เนื่องจากว่า Laptop ทั้งหลายนั้นมีพัดลม ซึ่งจะนำพาฝุ่น (ที่มีอยู่มากมายในเมืองไทย) เข้าไปเกาะติดอยู่ภายในเครื่องของเรา แบบเดียวกับแอร์และพัดลมที่บ้านของเรานั่นแหละครับ แค่ปีเดียวแค่นั้น ฝุ่นที่เกาะอยู่จะทำให้พัดลมหมุนได้ช้าลง พอพัดลมทำงานได้แย่ลง Thermal solution ของเครื่องเราก็จะพังลง เกิดอาการ Thermal throttle ลดความเร็ว CPU ฮวบฮาบๆ (inner กำลังมาเต็มครับ 555)

และนี่คือเหตุผลว่าทำไมผมถึงไม่เขียนเกี่ยวกับ Surface Laptop/ Surface Laptop 2 แต่เขียนถึง Surface Laptop 3 นั่นก็เพราะ รุ่น 1 และ 2 นั้นมันถอดมาทำความสะอาดไม่ได้นั่นเองครับ ไม่ว่าเราจะทำเอง หรือเอาไปให้ช่างที่ไหนทำก็ไม่ได้ แม้รูปลักษณ์จะสวยเพียงใด ผมก็ทำใจรักมันไม่ลง

ส่วนทำไมถึงไม่เขียนว่า "ไม่แนะนำ" นะหรือครับ? นั่นก็เพราะตัวผมเองปกติถ้าไม่สนใจแล้ว ก็จะไม่สนใจเลย ไม่อยากเขียนเกี่ยวกับมันนั่นล่ะครับ (เว็บนี้เป็นงานอดิเรก ผมเองจะมีแรงทำเฉพาะสิ่งที่ผมสนใจเท่านั้นแหละครับ)

ส่วน Tablet ผมจะมีความคาดหวังที่ต่างออกไป เพราะปกติ Tablet มันก็แกะไม่ได้อยู่แล้ว และ life expectancy ของ tablet ก็น้อยกว่า laptop อยู่พอสมควร ผมเลยเขียนเกี่ยวกับ Surface Pro อยู่บ้าง แต่ที่เขียนละเอียดๆ เลยคือ Surface Go ซึ่ง "ไม่มีพัดลม" ด้วยเหตุผลดังที่ว่าไปแล้ว



แต่เมื่อวันนี้ Surface team สามารถออกแบบ Surface laptop 3 ให้สามารถ "maintenance ได้" โดยที่ไม่ส่งผลกระทบต่อรูปลักษณ์และความสวยงามอีกต่างหาก... ผมจึงขอ "ซูฮก" และ "Respect!" มา ณ ที่นี้

เรื่องนี้กลายเป็นเรื่องสำคัญเมื่อ Panos Panay แกะเครื่องโชว์กลางเวทีเลยว่า Keyboard deck นั้นสามารถแกะออกได้ เพียงแค่เราไขน็อต 4 ตัวที่แอบอยู่ใต้ยางกันลื่นเท่านั้นเอง ซึ่งเรื่องนี้ทาง iFixit.com ก็ได้คอนเฟิร์มแล้วว่า หลังจากเอาน็อตออกแล้ว keyboard deck นั้นยึดติดอยู่กับตัวเครื่องด้วยแม่เหล็กเท่านั้น ไม่มีกาวใดๆ



ไฮไลท์ที่ตามมาก็คือ NVME SSD นั้น สามารถถอดออกได้แล้วครับ และแม้ว่า Microsoft จะบอกว่า ไม่อนุญาตให้เราเพิ่มขนาด SSD ได้เอง แต่ออกแบบมาให้แกะ SSD ได้เพื่อให้ลูกค้าองค์กรสามารถแกะ SSD ซึ่งมีข้อมูลความลับของบริษัทฯ ออกก่อนขาย/ ซ่อมได้ แต่ก็มีคนลองแล้ว ว่ามันก็สามารถซื้อ SSD เพิ่มขนาดมาใส่เองได้

สำหรับการซ่อมแซมส่วนอื่นๆ นั้น ได้รับการยืนยันจากเจ้าพ่องัดแงะอย่าง ifixit.com ว่ามีส่วนประกอบเป็น modular ในหลายๆ ส่วน ไม่ได้เชื่อมทุกอย่างเอาไว้บน mainboard เหมือนแต่ก่อน เว้นแต่ RAM ที่ยังเชื่อมอยู่

Studio microphones และ Omnisonic speakers



สำหรับแฟนๆ Surface laptop นั้น น่าจะคุ้นเคยกันดีกับ web cam ที่แม้จะถ่ายวีดีโอได้ที่ความละเอียด HD (720p) เหมือนกับ laptop ด้วยกันแล้ว แต่มีคุณภาพของวีดีโอที่ดีกว่า 720p ใน laptop ต่างๆ มาก (Macbook ก็ให้มาแค่ 720p นะครับ) ใครที่เคย video call (เช่น skype หรืออื่นๆ) ผ่าน Surface Laptop น่าจะทราบกันดีนะครับ

Surface Laptop 3 นั้น มาพร้อมกับ Far field studio microphones 2 ตัวที่จูนมาสำหรับ video call โดยเฉพาะ ทำให้เสียงชัด แม้จะยืนพูดห่างๆ จากตัวเครื่องก็ตาม ซึ่งนี่จะทำให้ Surface Laptop จะแพ้ในเรื่อง Video call ก็แค่กับ Surface Pro เท่านั้น



แต่สิ่งที่ Surface Laptop ทำได้ดีที่สุดในตระกูล Surface ด้วยกันก็คือการใส่ Omnisonic speakers เอาไว้ใต้ keyboard ซึ่งนอกจากจะทำให้ไม่ต้องเจาะรูตัวเครื่องแล้ว ยังสามารถใส่ driver ตัวใหญ่กว่าปกติเอาไว้ได้อีกด้วย ซึ่ง Surface laptop 3 นั้น ก็ยังนำเอาจุดเด่นนี้มาใส่ไว้เช่นกัน

หมายเหตุ มีบางคนพบว่า คุณภาพเสียงใน Surface Laptop 3 รุ่นที่มี Alcantara จะมีคุณภาพที่ดีกว่ารุ่นที่ไม่มี Alcantara ซึ่งส่วนตัวผมเข้าใจว่า นั่นคือคุณสมบัติในการดูดซับเสียงของวัสดุที่มีพื้นที่ผิวมากกว่าอย่าง Alcantara นั่นเอง
ลองดู Surface ใน Lazada

การมาของ AMD Ryzen, Microsoft Surface Edition



สำหรับ Surface Laptop 3 รุ่น 15" ปกตินั้น ทาง Microsoft ได้เลือกใช้ชิพจากฝั่ง AMD โดยจะเป็น custom chips ที่เรียกว่า AMD Ryzen 5/7 Microsoft Surface Edition ซึ่งมีส่วนที่ต่างไปจากปกติ คือ การมีชิพกราฟฟิค Vega ที่แรงขึ้นกว่า Ryzen5/7 ปกติ



โดยสำหรับรุ่น Ryzen 7 นั้น จะมาพร้อมกับ AMD Radeon RX Vega 11 ซึ่งจัดเป็น best-in-class on board graphic ส่วนรุ่น Ryzen 5 นั้นจะมาพร้อมกับ AMD Radeon RX Vega 9

หากเปรียบเทียบประสิทธิภาพของ CPU แล้วจะพบว่า Surface Laptop 3 รุ่น Ryzen 5, 7 นั้น จะมีประสิทธิภาพเท่าๆ กับ Intel Core i5, i7 ใน Surface Laptop 2 แต่สำหรับ GPU แล้ว Surface Laptop 3 รุ่น Ryzen 5, 7 นั้นจะมีประสิทธิภาพที่เหนือกว่า Iris plus ใน 10th gen intel chip นะครับ

ก็นับว่ามีข้อดีข้อด้อยที่ต่างกันไปนะครับ

แต่สำหรับใครที่อยากได้ Surface Laptop 3 รุ่น 15" ที่เป็น intel chip นั้น ในต่างประเทศ สามารถหาซื้อได้ในตามช่องทางการจัดจำหน่ายเพื่อลูกค้าธุรกิจนะครับ โดยราคาจะแพงกว่ารุ่นที่ใช้ชิพ AMD อยู่ประมาณ $100 ส่วนในประเทศไทยถ้านำเข้ามาขาย ผมก็คิดว่าน่าจะเป็นรูปแบบคล้ายๆ กันนะครับ
ลองดู Surface ใน Lazada

เอาล่ะครับ วันนี้คงพอแต่เพียงเท่านี้ ไว้ผมจะหาเวลาเขียนสรุป performance ของ Surface Laptop 3 ไว้ให้อ่านกันนะครับ

ทำความรู้จักกับ Surface Laptop 3 - 13.5" & 15" part 1


Surface Laptop 3 13.5" & 15" นั้น เป็นสมาชิกใหม่ของ Microsoft Surface Line ที่เริ่มวางขายใน US ตั้งอต่ช่วงปลายเดือนตุลาคม วันนี้เรามาทำความรู้จักกับ Surface Laptop 3 กันดีกว่าครับ (ผมขออนุญาตไม่ลงตาราง Product spec นะครับ หากันได้อยู๋แล้วแหละเนอะ จะเขียนถึงแหละครับ แต่ไม่ทำเป็นตารางให้ เพราะมีอยู่แล้วเต็ม internet ครับ) 

การจะทำความรู้จักกันนั้น ก็ต้องเริ่มจากวีดีโอเปิดตัวกันก่อนเลย



Surface Laptop 3 คืออะไรที่กลมกล่อม ให้ประสบการณ์ในการใช้งานที่ดีที่สุดในบรรดา Laptop ด้วยกัน

คนที่ผมรู้จัก โดยเฉพาะเพื่อนต่างชาตินั้น เรียก Microsoft Surface ว่าเป็น Top of the Line of Windows Machine ผมเองเห็นด้วยกับคำนี้ครับ และคิดว่า Surface products นั้น มาพร้อมคุณภาพที่ทุกคนต้องเหลียวมองอย่างจริงจัง

ผลิตภัณฑ์ในตระกูล Surface Laptop นั้น Surface team พัฒนาขึ้นมาเพื่อตอบสนองความต้องการของผู้ที่ใช้งานที่ต้องการ Vanilla Ultrabook Experience หรือประสบการณ์การใช้งานแล็ปท็อปแบบบางเบาที่มีความคลาสสิค ไม่หวือหวา ไม่ฉูดฉาด และส่วนตัวผมเชื่อว่า Surface Laptop 3 ทำสิ่งที่ว่ามานั้นได้ดีมากๆ แถมตอบโจทย์ด้านลบในรุ่นที่ผ่านๆ มาได้เกือบทั้งหมด
ลองดู Surface ใน Lazada

แต่จะมีอะไรบ้างนั้น... เราไปดูกันเลยครับ

Keyboard ที่ดีที่สุดจาก Microsoft



Surface laptop นั้นขึ้นชื่อเรื่องการมีคีย์บอร์ดที่ยอดเยี่ยม และใน series 3 นี้ก็ยังมาพร้อมกับ Scissors switch backlit keyboard ที่จะมอบประสบการณ์ในการพิมพ์ที่ยอดเยี่ยมเช่นเดิม

Quad-core 10th gen Intel Processor 



สำหรับ CPU นั้น Surface Laptop 3 จะมาพร้อมกับ 10th gen Core i5 และ i7 จาก intel ซึ่งเมื่อดูสเปคอย่างละเอียดแล้วจะพบว่า Surface team เลือกใช้ chip ที่แรงกว่า 10th gen Core i5 และ i7 ที่อยู่ใน Surface Pro 7 เล็กน้อย ซึ่งก็มาจากการที่ Surface Laptop 3 มีความสามารถในการระบายความร้อน (Thermal solution) ที่ดีกว่า Surface Pro 7 นั่นเองครับ

สิ่งที่น่าตื่นเต้นก็คือ การที่ 10th gen Intel chips นี้ มีประสิทธิภาพที่สูงมาก ถ้าจะพูดให้ฟังง่ายๆ แบบไม่ซับซ้อนก็คือ Core i5 ใน Surface Laptop 3 นั้นแรงกว่าเร็วกว่า Core i7 ใน Surface Laptop 2 เสียอีก ดังนั้น Core i7 ใน Surface Laptop 3 ที่มาพร้อมกับ Iris Plus Graphics ก็จะยิ่งแรงหนักเข้าไปอีกครับ

หมายเหตุ: intel chip นี้จะมีในรุ่น 13.5" ส่วนในรุ่น 15" จะมีรุ่นที่เป็น intel chip ขายสำหรับลูกค้าธุรกิจเท่านั้น

Precision Trackpad ที่ใหญ่ขึ้น... ก็จะฟินน์ขึ้นอีก



จากเดิมที่ Surface Laptop นั้นมาพร้อมกับ Precision Trackpad ที่ดีที่สุดในบรรดา Windows laptop ด้วยกันอยู่แล้ว มาคราวนี้ขยายพื้นที่เพิ่มอีก 20% อันนี้ไม่ต้องอธิบายอะไรมากนะครับ เพราะตรงไปตรงมาเลยว่ามันใหญ่ขึ้น... ก็ใช้ได้ฟินน์ขึ้น...

Machined Aluminium finish และสีใหม่



ในคราวนี้ Microsoft ได้ลดความสำคัญของ Alcantara ใน Surface Laptop ลง โดยจะมีขายทั้งแบบที่มี และไม่มี Alcantara ซึ่งบางคนก็ไม่ชอบเพราะมันดูเก่าง่าย



สำหรับสีสันนั้น จะมาพร้อมกับ Matte Black (ซึ่งสวยมาก แต่ก็เป็นรอยนิ้วมือง่าย), sandstone (สีนี้หวานเชียวครับ), และสี Platinum ตามธรรมเนียมของ Surface (แต่สีของ alcantara จะมีสีที่เข้มขึ้นพอสมควร ซึ่งจะทำให้มันดูเก่ายากขึ้นด้วยครับ)

ส่วนจะเข้าไทยทุกสีหรือไม่นั้น ต้องรอลุ้นกันครับ
ลองดู Surface ใน Lazada

Always On เปิดปุ๊บเข้าปั๊บ ใช้งานต่อได้ไม่ต้องรอ



Surface team นั้น ประสบความสำเร็จในการทำให้ Intel/ AMD chip ใน Surface Laptop นั้น สามารถมีคุณสมบัติในรูปแบบเดียวกับ Smartphone อย่างหนึ่ง คือ Always On 



ซึ่งลักษณะการใช้งานนี้จะคล้ายกับ Surface Pro X และ Smartphone ทั้งหลาย คือ "ไม่ต้อง shut down" อีกต่อไป แค่ปิดหน้าจอ (sleep) ไว้ก็พอ และเมื่อเปิดเครื่องออกมา Windows จะเปิดหน้าจอกลับขึ้นมาและทำการปลดล็อคด้วย Windows Hello ทันทีโดยเราไม่ต้องทำอะไร

มันช่างเหมาะกับคนยุคใหม่เสียจริง ^^~

หมายเหตุ อันนี้ไม่แน่ใจว่าเป็นที่ Firmware/ drivers หรือเปล่า แต่ในช่วงแรกๆ นี้ Always On จะใช้งานได้ดีกับ Intel models มากกว่า AMD models ซึ่งอันนี้คงต้องรอดูกันครับว่า พอ update firmware/ drivers แล้วทางฝั่ง AMD จะดีขึ้นมั้ย

I/O เดิมที่เจ๋งขึ้น และ I/O ใหม่สารพัดประโยชน์



Surface Laptop 3 นั้นมาพร้อม Surface Connect+ port, USB type C (3.1 gen 2), และ USB type A โดยที่แถมหัวชาร์จแบบ Surface Connect มาด้วย ซึ่งจะทำให้เราสามารถชาร์จไปและใช้งาน USB-C ไปด้วยพร้อมกันได้ และยังรองรับการชาร์จผ่าน USB-C ก็ได้อีกด้วย เผื่อไม่อยากพก Charger หลายๆ อัน (แต่ USB-C charger ต้องรองรับ Power Delivery Standard นะครับ)

ส่วน USB-C นั้น นอกจากใช้ชาร์จแล้ว ก็ยังใช้งานได้สารพัดตามประสา USB-C ไม่ว่าจะเป็น storage, display, Ethernet, etc. สารพัดประโยชน์มากๆ ครับ

สิ่งที่ขาดไปเพียงอย่างเดียว คือ microSD card slot นั่นเองครับ ซึ่งการมี MicroSD card slot ใน Surface Pro/ Go นั้นสำคัญมากสำหรับในการที่จะใช้เพิ่ม storage ให้กับตัวเครื่องในราคาไม่แพงนะครับ ถ้าบางคนชอบใช้ microSD card แบบผมก็คงจะต้องผิดหวังกันไม่น้อย

Fast Charging 0-80% ใน 1 hr



ใช่แล้วครับ แบบเดียวกับในสมาร์ทโฟนเลย Surface Laptop 3 นั้น มาพร้อมกับพอร์ท Surface Connect Plus ที่รองรับ fast charging ที่รวดเร็วมาก ไม่มีแล็ปท็อปไหนอีกแล้วที่สามารถชาร์จจาก 0-80% ได้ในเวลา 1 ชั่วโมง

อย่าลืมนะครับว่าในแลปท็อปนั้น มีขนาดแบตเตอรี่ที่ใหญ่กว่าในสมาร์ทโฟนมาก การจะทำให้รองรับการชาร์จแบบนี้ได้นั้น ผมปรบมือให้เลยครับ และ feature นี้จะช่วยให้ power user ที่ใช้งานแอพที่กินไฟเยอะๆ สามารถใช้ Surface Laptop 3 ต่อได้ยาวๆ แม้จะมีเวลาชาร์จไฟเพียงเล็กน้อย
ลองดู Surface ใน Lazada

อ่านต่อ part 2 ที่เน้นอีกหลายเรื่องที่เป็น Feature เด่นๆ ของ Surface Laptop 3 ได้ที่นี่ครับ ^^~

Thursday, 7 November 2019

ทำความรู้จักกับ Surface Pro X - part 2

สวัสดีครับ วันนี้มาต่อกันกับการทำความรู้จัก Surface Pro X ที่ตอกแรกก็ไม่คิดว่ามันจะยาวขนาดนี้ แต่เพราะมันดันมี features ที่น่าสนใจมากมาย ทำให้จะรวมไว้เป็นหน้าเพจเดียวก็จะดูยาวเกินไป เอาเป็นว่า สามารถหาอ่าน part 1 ได้ที่นี่นะครับ


ว่าแล้วก็เริ่มกันต่อดีกว่าครับ ว่ายังมีอะไรเด็ดๆ อีกบ้าง

หน่วยประมวลผล Microsoft SQ1 processor


หากได้ติดตามข่าวสารจาก Qualcomm มาบ้างเราจะทราบว่าเมื่อปลายปี 2018 Qualcomm นั้นได้ประกาศ Snapdragon 8cx ซึ่งเป็นหน่วยประมวลผลที่ทาง Qualcomm ได้ออกแบบมาเพื่อให้เหมาะกับการเอามาใช้ใน PC เพราะมีประสิทธิภาพสูงและต้องการการระบายความร้อนที่ดี โดยเจ้า Snapdragon 8cx นี้จะมีประสิทธิภาพทัดเทียมกับ intel Core i5 8250U

ทาง Surface team นั้น ไม่ได้นำ Snapdragon 8cx มาใส่เข้าไปใน Surface Pro X เฉยๆ แต่ได้มีการ customise ให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น โดยจะมี Clock speed ถึง 3GHz เลยทีเดียว (Snapdragon 8cx นั้นอยู่ที่ 2.84GHz) และมี TDP อยู่ที่ 7 watts


นอกจากนั้นแล้วชิพ Microsoft SQ1 นั้นยังเสริมความแรงด้วย AI engine โดยที่ AI engine ที่มีความแรงถึง 9 Teraops นี้จะมาช่วยแบ่งเบาการทำงานของ CPU/ GPU เช่น ทาง Panos Panay ยกตัวอย่างการประมวลผลแบบเรียลไทม์ที่ช่วยปรับสายตาของคู่สนทนาทาง video conference ให้มองตรงมายังคู่สนทนาอีกฝั่งหนึ่ง ไม่มองไปมาหลุกหลิกบนหน้าจอ หรือจับจ้องไปที่อื่น (ปัญหานี้ใครเคย video call ผ่านคอมหรือมือถือน่าจะคุ้นเคยกันดีนะครับ ว่าคู่สนทนาจะไม่ได้จ้องตากันจริงๆ จัง) ซึ่งในชิพที่มี TDP 15 watts (พวกชิพ intel ตระกูล U นั่นแหละครับ) ปกติแล้วจะทำงานแบบนี้ไม่ค่อยไหว หรือไหวแต่ก็เต็มๆ ประสิทธิภาพ CPU/ GPU โดยการที่มี AI engine ใน Microsoft SQ1 chip นี้จะช่วยให้มีน่วยประมวลผลอะไรแบบนี้เป็นการเฉพาะได้โดยไม่ต้องไปพึ่ง CPU/ GPU นั่นก็จะทำให้งานอื่นๆ ที่ทำอยู่นั้น ลื่นขึ้นอย่างมาก

แล้ว GPU ล่ะ เป็นอย่างไร


ทาง Panos Panay ไม่ได้ให้ข้อมูลอะไรมาก แค่บอกว่ามีประสิทธิภาพถึง 2 Teraflops เลยทีเดียว ซึ่งเมื่อเราเปิดดู spec sheet ก็จะพบว่ามันเป็นตัว customise อีกแล้วครับ โดยมีชื่อว่า Adreno 685 ซึ่งจะแรงกว่า Adreno 680 ที่ใส่ใน Snapdragon 8cx อยู่ประมาณ 10%

ซึ่งเอาจริงๆ แล้ว graphic performance ที่ 2 TFs นี่ไม่ใช่ธรรมดาเลย เมื่อลองเทียบดูกับ Xbox One X ที่เป็นเกมคอนโซลโดยเฉพาะนั้น มี graphic performance เพียง 1.4 TFs

อย่างไรก็ตาม ประสิทธิภาพของ graphic นั้นจะดูจากเลข Teraflops อย่างเดียวก็คงจะไม่ได้ มันก็คงจะต้องขึ้นกับผู้พัฒนาเกมด้วยว่า จะนำประสิทธิภาพตรงนี้มาใช้ได้อย่างไร ซึ่งเรื่องนี้จะต้องเป็นเรื่องที่ต้องรอดูกันต่อไปครับ
ลองดู Surface ใน Lazada

Edge-to-Edge 13" PixelSense display


เรื่องขนาดของหน้าจอก็เป็นอีกจุดขายหลักของ Surface Pro X เนื่องจากได้มีการนำเอาหน้าจอขนาด 13 นิ้ว มาใส่ไว้ในโครงที่มีขนาดเท่าๆ กับ Surface Pro 7 ที่ขนาดหน้าจอ 12.3" ซึ่งนั่นจะทำให้มีขอบของเครื่องที่บางลงกว่าเดิมอย่างเห็นได้ชัด โดยหน้าจอที่ใช้จะเป็นหน้าจอ PixelSense ที่เป็นเอกสิทธิ์เฉพาะของ Microsoft อัตราส่วนหน้าจอที่อยู่ที่ 3:2 นั้น เป็นอัตราส่วนหน้าจอที่ทำให้ Surface products มีส่วนสูงมากกว่า laptop ทั่วๆ ไปที่มีอัตราส่วนหน้าจอที่ 16:9 อยู่ประมาณนึง อัตราส่วนหน้าจอนี้ผมชอบมากๆ เพราะมันเหมือนสมัยเมื่อสัก 10 กว่าปีก่อนอัตราส่วนหน้าจอ laptop จะสูงๆ แบบนี้แหละ แม้ว่าเวลาดู YouTube มันจะมี Black bar แต่เวลาทำงาน Microsoft Office นั้น ถ้าอัตราส่วนหน้าจอเป็น 16:9 แล้ว มันจะมีพื้นที่ให้ทำงานน้อยมากๆ แค่ Ribbon menu ก็กินพื้นที่ไปเกือบหมดแล้ว ทำให้เวลาทำงาน Word/ Excel/ PowerPoint นั้นเราจะมีมุมมองที่กว้างขึ้น และทำงานได้สบายขึ้นมากเลยครับ

Always On Always Connected ไม่ต้องรอบูทเครื่องอีกต่อไป


การที่ Surface Pro X นั้น ใช้หน่วยประมวลผล Microsoft SQ1 ที่พัฒนาร่วมกับ Qualcomm นั้น ทำให้ Surface Pro X มีคุณสมบัติในรูปแบบเดียวกับ Smartphone ไปด้วย นั่นคือ Always On และ Always Connected

ลักษณะการใช้งานที่เป็นจุดเด่นของ Surface Pro X ก็จะกลายเป็นว่า "ไม่ต้อง shut down" อีกต่อไป แค่ปิดหน้าจอ (sleep) ไว้ก็พอ และสามารถใช้งานต่อได้ทันทีแบบเดียวกันกับ Smartphone ซึ่งการที่มีคุณสมบัติแบบนี้ การที่เราจะปิดๆ เปิดๆ หน้าจอบ่อยๆ ก็ไม่เป็นปัญหาแต่อย่างใด แถมยังมีการเชี่อมต่อ Wifi, Bluetooth, LTE ได้ตลอดเวลาแม้จะอยู่ในสถานะปิดหน้าจอ (sleep) ก็ตาม

มันช่างเหมาะกับคนยุคใหม่เสียจริง ^^~
ลองดู Surface ใน Lazada

Surface Slim Pen ที่ไม่ต้องเปลี่ยนถ่านอีกต่อไป


อันที่จริงส่วนตัวผมชอบ Surface Pen ที่เปลี่ยนถ่านได้มากๆ เลยนะครับ เพราะนอกจากถ่านก้อนนึงจะใช้งานได้นานเป็นปีแล้ว เราก็ไม่ต้องมานั่งกังวลว่าถ่านชาร์จพอใช้ไปนานๆ จะบวม จะต้องมาเปลี่ยนถ่านมันหรือไม่
Surface Pro X นั้น มาพร้อมกับปากกาใหม่ที่เปลี่ยนรูปทรงไป ชื่อว่า Surface Slim Pen ซึ่งจะมาพร้อมกับ rechargable battery แล้วครับ ใครที่ก่อนหน้านี้หาซื้อถ่าน AAAA ไม่ค่อยได้ก็คงจะหมดปัญหากันเสียที โดยที่ Surface Slim Pen นี้ จะมีคุณสมบัติไม่ด้อยไปกว่า Surface Pen ปกติทุกประการ


สาเหตุที่ Surface team ต้องออกแบบ Slim Pen ใหม่นี้ ส่วนหนึ่งก็มาจากการที่หน้าจอของ Surface Pro X ที่ตอนนี้นั้นมีขอบหน้าจอที่เล็กมากๆ จนไม่สามารถที่จะเอาแถบแม่เหล็กไปติดไว้ได้อีกแล้ว แถมตัวเครื่องก็บางกว่าเดิมลงอีก 1 mm

Surface team ได้ออกแบบ Surface Slim Pen ใหม่ ให้สามารถใช้งานได้คู่กันกับ Surface Pro X TypeCover โดยจะมีช่องเก็บ Slim Pen อยู่บน Type Cover เลย แถมยังเป็นที่ชาร์จไฟไปด้วยในตัวอีกต่างหาก

กลายเป็นว่า Surface Slim Pen และ TypeCover นี้เป็นคู่ duo ที่ลงตัวมากๆ เพราะ ผมเชื่อว่าผู้ใช้งาน Surface Pro เกือบทุกคนจะมี TypeCover กันทั้งนั้น และการที่ Slim Pen เก็บอยู่ใน TypeCover ก็จะตัดปัญหาเรื่องของการหล่นหายระหว่างที่เราเก็บ Surface ของเราไว้ในกระเป๋าไปได้เลย 100%

สรุปว่า ผมคิดว่ากรณีนี้นั้น Surface Slim Pen ที่มาพร้อม Rechargable battery นั้นมี benefit ที่มากกว่า risk และผมสามารถแนะนำให้ผู้อื่นใช้ได้อย่างไม่เคอะเขิน

Removable SSD 128-512 GB แม้จะเป็น tablet แต่ก็สามารถอัพเกรดได้


Surface Pro X นั้นมาพร้อมกับ RAM 8-16 GB ซึ่งบอกได้เลยครับว่า "เหลือๆ" สำหรับการใช้งาน แต่ที่เป็นไฮไลท์ที่สุดก็คือ NVME SSD ที่สามารถถอดออกได้ และแม้ว่า Microsoft จะบอกว่า ไม่อนุญาตให้เราเพิ่มขนาด SSD ได้เอง แต่ออกแบบมาให้แกะ SSD ได้เพื่อให้ลูกค้าองค์กรสามารถแกะ SSD ซึ่งมีข้อมูลความลับของบริษัทฯ ออกก่อนขาย/ ซ่อมได้ แต่ก็มีคนลองแล้ว ว่ามันก็สามารถซื้อ SSD เพิ่มขนาดมาใส่เองได้ แค่แกะน็อตตัวเดียวเอง


การออกแบบอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ให้สามารถเปลี่ยนชิ้นอุปกรณ์ได้มากกว่าในรุ่นเก่าๆ นี้ จัดว่าเป็นการเดินหมากที่แปลกกว่าผู้ผลิตเจ้าอื่นๆ ในปัจจุบันที่มักจะยกเลิกอะไรพวกนี้ทิ้ง ซึ่งในครั้งนี้ Microsoft Surface ก็ได้รับคำชมที่ดีพอสมควรเลยทีเดียว ทั้ง Surface Pro X และ Surface Laptop 3

Dual 4K external Displays


คุณสมบัติอย่างสุดท้ายนี้ ออกแบบมาเอาใจผู้ใช้งานที่ชอบต่อออกหลายๆ จอเป็นยิ่งนัก ด้วยการที่ Surface Pro X นั้น สามารถรอบรับการต่อออกจอ 4K ได้พร้อมกันถึง 2 จอ เลยทีเดียว ไม่ต้องพูดกันมากเลยนะครับ เพราะในการทำงานหลายๆ อย่าง ยิ่งมีหลายหน้าจอ ยิ่งมี productivity เพิ่มมากขึ้น

สำหรับรายละเอียดที่ยังคาใจผมอยู่นิดนึง คือ Surface Pro X นั้นมี USB-C มาให้ 2 ports แต่ไม่ได้ให้รายละเอียดว่าการทำ Dual 4K external Displays นั้น สามารถทำได้ด้วยการต่อออกจาก USB-C พอร์ทเดียว (ผ่าน dongle) หรือต้องใช้ทั้งสองพอร์ท เดี๋ยวถ้ามีข้อมูลเพิ่มเติมก็จะมาอัพเดทให้ครับ
ลองดู Surface ใน Lazada


เอาล่ะครับ วันนี้คงพอแต่เพียงเท่านี้ ไว้คราวหน้าผมจะเขียนสรุป performance ของ Surface Pro X กันนะครับ

Saturday, 2 November 2019

ทำความรู้จักกับ Surface Pro X - part 1


Surface Pro X นั้น เป็นสมาชิกใหม่ล่าสุดของ Microsoft Surface Line ที่เริ่มวางขายกันในเดือนพฤศจิกายนนี้ วันนี้เรามาดูกันดีกว่าครับว่าเจ้า Surface Pro X นี้ เป็นอย่างไรกันบ้าง (ผมขออนุญาตไม่ลงตาราง Product spec นะครับ หากันได้อยู๋แล้วแหละเนอะ จะเขียนถึงแหละครับ แต่ไม่ทำเป็นตารางให้ เพราะมีอยู่แล้วเต็ม internet ครับ) 

การจะทำความรู้จักกันนั้น ก็ต้องเริ่มจากวีดีโอเปิดตัวกันก่อนเลย


ทำไมหลายๆ คนถึงเรียกว่า Surface Pro X คือรูปแบบในอนาคตของ Surface Pro

Panos Panay ซึ่งเป็นผู้ดูแล Surface Product นั้นได้กล่าวถึง Surface Pro 7 ว่าเป็นการพัฒนาไปข้างหน้า แต่ว่า Surface Pro X นั้นเป็น "What is next for the 2-in-1" ซึ่งต้องการผลิตภัณฑ์ที่ยอดเยี่ยมทั้งในด้าน Mobility, Productivity และ Speed

คนที่ผมรู้จัก โดยเฉพาะเพื่อนต่างชาตินั้น เรียก Microsoft Surface ว่าเป็น Top of the Line of Windows Machine ผมเองเห็นด้วยกับคำนี้อย่างจริงจัง และคิดว่า Surface Product นั้น จะมาพร้อมคุณภาพที่ทุกคนต้องเหลียวมองอย่างจริงจัง

เพราะอะไรบ้างนั้น... เราไปดูกันเลยครับ

Surface Pro ที่บางที่สุด


Surface Pro X นั้น เป็น Surface Pro ที่บางที่สุดที่เคยมีมา โดยหากวัดจากจุดที่บางที่สุดแล้ว จะหนาเพียง 5.3 mm แม้ว่าถ้าวัดจากจุดที่หน้าที่สุดแล้วจะหนา 7.3 mm แต่ก็นับว่าบางกว่า Surface Pro 6/7 ที่หนา 8.5 mm อยู่มากเลย

ลองนึกภาพนะครับ Surface Pro X นั้น ขนาดกว้างคูณยาวเท่ากับ Surface Pro 6/7 แต่ขนาดบางลงมากกว่า 1 mm

ไม่ใช่แค่ความบางนะครับ แต่ Surface Pro X มาพร้อม kickstand แบบเดียวกันกับ Surface Pro ที่สามารถกางออกได้ถึง 165 องศา เพื่อเข้าสู่ Studio mode แบบเดียวกันกับ Surface Pro ด้วยครับ

I/O สารพัดประโยชน์


Surface Pro X นั้นมาพร้อม Surface Connect+ port, USB type C (3.1 gen 2), จำนวน 2 ports โดยที่แถมหัวชาร์จแบบ Surface Connect มาด้วย ซึ่งจะทำให้เราสามารถชาร์จไปและใช้งาน USB-C ทั้งสองพอร์ตไปด้วยพร้อมกันได้ (ผมมองท่านอยู่นะ MacBook Air) และยังรองรับการชาร์จผ่าน USB-C ก็ได้อีกด้วย เผื่อไม่อยากพก Charger หลายๆ อัน (แต่ USB-C charger ต้องรองรับ Power Delivery Standard นะครับ)

ส่วน USB-C นั้น นอกจากใช้ชาร์จแล้ว ก็ยังใช้งานได้สารพัดตามประสา USB-C ไม่ว่าจะเป็น storage, display, Ethernet, etc.

ซึ่งเมื่อรวมเจ้า 3 อย่างนี้เข้ากับ pogo pin (for Type Cover), nanosim slot, Touch & Pen input ด้วยแล้ว ถือว่าครบเครื่องมากๆ เลยครับ

สิ่งที่ขาดไปเพียงอย่างเดียว คือ microSD card slot นั่นเองครับ ซึ่งการมี MicroSD card slot ใน Surface Pro/ Go นั้นสำคัญมากสำหรับในการที่จะใช้เพิ่ม storage ให้กับตัวเครื่องในราคาไม่แพงนะครับ ถ้าบางคนชอบใช้ microSD card แบบผมก็คงจะต้องผิดหวังกันไม่น้อย
ลองดู Surface ใน Lazada

กล้อง 4K พร้อม Studio mics



สำหรับแฟนๆ Surface Pro นั้น น่าจะคุ้นเคยกันดีกับ web cam ที่สามารถถ่ายวีดีโอที่ความละเอียด Full HD (1080p) ได้ทั้งกล้องหน้าและกล้องหลัง ซึ่งเมื่อเทียบกับ laptop ด้วยกันแล้วนับว่า ดีกว่า 720p ใน laptop ต่างๆ มาก (Macbook ก็ให้มาแค่ 720p นะครับ) ใครที่เคย video call (เช่น skype หรืออื่นๆ) ผ่าน Surface Pro น่าจะทราบกันดีนะครับ

Surface Pro X นั้นไม่ได้หยุดอยู่เพียงแค่นั้น โดย Surface team นั้นออกแบบมาให้ Surface Pro X มอบประสบการณ์ Video call ที่ยอดเยี่ยมด้วยการใส่กล้องที่สามารถถ่ายวีดีโอได้ในระดับ 4K UHD (จากกล้องหลังนะครับ กล้องหน้ายังเป็น 1080p เหมือนเดิม) พร้อมกับ Far field studio microphones 2 ตัวที่จูนมาสำหรับ video call โดยเฉพาะ ทำให้เสียงชัด แม้จะยืนพูดห่างๆ จากตัวเครื่องก็ตาม

และนี่จะทำให้ Surface Pro คงความเป็นผู้นำในเรื่อง Video call ต่อไปยาวๆ

Fast Charging 0-80% ใน 1 hr


ใช่แล้วครับ แบบเดียวกับในสมาร์ทโฟนเลย Surface Pro X นั้น มาพร้อมกับพอร์ท Surface Connect Plus ที่รองรับ fast charging ที่รวดเร็วมาก ไม่มีแล็ปท็อปไหนอีกแล้วที่สามารถชาร์จจาก 0-80% ได้ในเวลา 1 ชั่วโมง

อย่าลืมนะครับว่าในแลปท็อปนั้น มีขนาดแบตเตอรี่ที่ใหญ่กว่าในสมาร์ทโฟนมาก การจะทำให้รองรับการชาร์จแบบนี้ได้นั้น ผมปรบมือให้เลยครับ และ feature นี้จะช่วยให้ power user ที่ใช้งานแอพที่กินไฟเยอะๆ สามารถใช้ Surface Pro X ต่อได้ยาวๆ แม้จะมีเวลาชาร์จไฟเพียงเล็กน้อย

Gigabit LTE advance


แน่นอนว่าการที่ใช้ ARM processor นั้น ทำให้ Surface Pro X รองรับการเชื่อมต่อกับเครือข่ายโทรศัพท์มือถือ 4G ที่ความเร็วสูงสุดถึง 1 Gigabit แบบเดียวกันสมาร์ทโฟนตัวท็อปๆ เลยทีเดียว โดยสามารถเชื่อมต่อได้ทั้งแบบ nanosim และ eSim

ซึ่งการที่ Surface Pro X รองรับ Gigabit LTE นั้น จะช่วยให้การใช้งาน Surface Pro X นอกสถานที่นั้นเป็นไปด้วยความสะดวกสบาย ไม่ต้องหาร้านกาแฟที่มีไวไฟฟรี หรือเชื่อมต่อ hot spot กับมือถือของเราอีกต่อไป อยากใช้งานอะไรที่ไหน เมื่อไหร่ แค่มีสัญญาณมือถือ ก็ใช้ได้ทันที

อันนี้สำหรับผมจัดว่าเป็น USP หรือ Unique Selling Point ของ Surface Pro X อย่างหนึ่งเลยนะครับ เพราะนอกจากความสามารถนี้จะหาได้ยากใน laptop/ notebook แล้ว ราคามันยังแพงกว่ารุ่นปกติมากๆ แต่การที่ Surface Pro X ใช้ ARM chip ก็จะทำให้ laptop ที่มี Gigabit LTE นั้น มีราคาที่เข้าถึงได้ง่ายขึ้นกว่าเดิมมากๆ
ลองดู Surface ใน Lazada

อ่านต่อ part 2 ที่เน้นอีกหลายเรื่องที่เป็น Unique Selling points ของ Surface Pro X ได้ที่นี่ครับ ^^~