Search this site

Monday, 27 July 2020

การทำความสะอาดและดูแลรักษา Surface แนะนำโดย Microsoft

Microsoft ได้ให้คำแนะนำเกี่ยวกับการทำความสะอาดและดูแลรักษา Surface devices ไว้ในเว็บ ผมนำมาสรุปเป็นใจความให้เพื่อนๆ ที่สนใจได้อ่านกันนะครับ


General Cleaning recommendation

อย่างแรกสุดที่ผมอยากบอกก่อนเลย คือ ห้ามเทของเหลวลงบน Surface devices โดยตรง

Microsoft แนะนำว่า ทุกๆ 3-6 เดือน (หรือเมื่อจำเป็น) ควรทำความสะอาด Surface devices ด้วยผ้านุ่มที่ไม่มีขน (ผ้าไมโครไฟเบอร์นั้นดีเยี่ยม) ชุบน้ำสบู่อ่อนๆ เล็กน้อย หรือใช้กระดาษสำหรับเช็ดหน้าจอ (screen cleaning wipes) ก็ได้
Touchscreen care

1) ทำความสะอาดบ่อยๆ
ทำความสะอาดหน้าจอโดยใช้กระดาษสำหรับเช็ดหน้าจอ (screen cleaning wipes)หรือผ้านุ่มที่ไม่มีขนที่แห้ง หรือกรณีจำเป็น อาจใช้ผ้าที่หมาดๆ ด้วยน้ำ/ 70% Isopropyl alcohol/ น้ำยาทำความสะอาดแว่นตา
! ห้ามใช้น้ำยาทำความสะอาดกระจก หรือสารเคมีอื่นๆ
2) เก็บให้ห่างจากแสงแดด
ควรหลีกเลี่ยงการทิ้ง Surface devices ไว้ท่ามกลางแสงแดดเป็นเวลานานๆ เพราะรังสี UV และความร้อนอาจทำให้หน้าจอเสียหายได้
3) ปิดฝาไว้เสมอ
ปิดฝา (typecover/ sleeve/ keyboard) ไว้เสมอเมื่อไม่ใช้งาน

Typecover & Keyboard care

สามารถทำความสะอาด Typecover และ Keyboard ด้วยผ้านุ่มที่ไม่มีขนชุบน้ำสบู่อ่อนๆ เล็กน้อย ห้ามเทของเหลวลงบน typecover และ Keyboard โดยตรง
สามารถทำความสะอาดได้บ่อยตามความต้องการ

กรณีที่บริเวณขั้วเชื่อมต่อแบบแม่เหล็ก (Pogo pins) มีความสกปรก ควรทำความสะอาดด้วยผ้านุ่มที่ไม่มีขนชุบ Isopropyl alcohol

Alcantara® Material care

Surface devices บางรุ่น ใช้วัสดุ Alcantara® ที่ทนต่อ Spill & Absorption (การหกและดูดซับ)

การดูแลทั่วๆ ไป ของ Alcantara ก็คือ ใช้ผ้านุ่มที่ไม่มีขน "สีขาว" ชุบน้ำสบู่อ่อนๆ หมาดๆ เช็ดเป็นประจำ
กรณีที่มีของเหลวหกบน Alcantara ให้พยายามทำความสะอาดภายใน 30 นาที ช้ผ้านุ่มที่ไม่มีขน "สีขาว" ชุบน้ำสบู่อ่อนๆ โดยใช้วิธีเช็ดแบบหมุนวน (swirling motions) จากนั้นเช็ดให้แห้งด้วยผ้าสีขาว/ สีอ่อนที่สะอาด

วันนี้คงพอแต่เพียงเท่านี้นะครับ ในโอกาสถัดไปจะมาเขียนถึงการใช้ผลิตภัณฑ์ฆ่าเชื้อกับ Surface กันนะครับ เพราะช่วงนี้คงจะมีหลายๆ คนใช้กันเยอะเลย

ปล. สาเหตุที่ผมเอามาเขียนไว้เป็นภาษาไทย เพราะหน้าภาษาไทยของ Microsoft มันใช้การแปลอัตโนมัติ อ่านแล้วมันน่าหงุดหงิดชะมัด (>..<)"

source: https://support.microsoft.com/en-us/help/4023504/surface-clean-and-care-for-your-surface

Sunday, 17 May 2020

ทำความรู้จักกับ Surface Go 2



Surface Go นั้น เป็นสมาชิกใหม่ล่าสุดของ Microsoft Surface Line ที่เริ่มวางขายกันในเดือนพฤษภาคมนี้ วันนี้เรามาดูกันดีกว่าครับว่าเจ้า Surface Go2 นี้ แตกต่างจากรุ่นแรกอย่างไร มีอะไรที่เด่นๆ บ้าง (เหมือนเดิม คือ ผมขออนุญาตไม่ลงตาราง Product spec นะครับ หากันได้อยู๋แล้วแหละเนอะ จะเขียนถึงแหละครับ แต่ไม่ทำเป็นตารางให้ เพราะมีอยู่แล้วเต็ม internet ครับ)

การจะทำความรู้จักกันนั้น ก็ต้องเริ่มจากวีดีโอเปิดตัวกันก่อนเลย


Baby Surface Pro ที่เติบโตจนใกล้เคียง Pro



Panos Panay ซึ่งเป็นผู้ดูแล Surface Product นั้น เคยได้กล่าวไว้ตอนที่เปิดตัว Surface Go ครั้งแรกว่า ต้องการให้ Surface Go นั้น มีทุกอย่างเหมือนกับ Surface Pro ซึ่งก็ทำได้จริงๆ ตั้งแต่รุ่นแรกเลย อย่างไรก็ตาม ในรุ่นที่ 2 นี้ ก็ได้มีความเปลี่ยนแปลงที่ทำให้เจ้า Baby Surface Pro 2 นี้ มีประสิทธิภาพที่เข้าใกล้ Surface Pro เข้าไปอีก

คนที่ผมรู้จัก โดยเฉพาะเพื่อนต่างชาตินั้น เรียก Microsoft Surface ว่าเป็น Top of the Line of Windows Machine และสำหรับผมเอง Surface Go 2 นั้นมาในคุณภาพที่ทุกคนต้องเหลียวมองจริงจัง

เพราะอะไรบ้างนั้น... เราไปดูกันเลยครับ

544 g light เบามากๆ



ลืมไปได้เลยครับ กับ Laptop น้ำหนักมากๆ แบกทีไหล่ทรุด หลังแอ่น เพราะ Surface Go มีน้ำหนักเบามากๆ เพียง 544g เท่านั้น (ไม่รวม type cover ซึ่งหนักประมาณ 245g) เรียกได้ว่า เบาจนบางครั้งผมเองก็ต้องเปิดกระเป๋าดูอีกทีว่า เอามาด้วยหรือเปล่า 😅

10.5" PixelSense 1920 x 1290 Display



Surface Go มาพร้อมหน้าจอ PixelSense ขนาด 10.5 นิ้ว ที่ความละเอียด 1920 x 1290 pixel ที่ Colour calibrated มาแล้วจากโรงงาน

หน้าจอที่ขนาดใหญ่ขึ้น 0.5" นี้ เกิดจากการลดขนาดของขอบหน้าจอทั้งสี่ด้านลง โดยที่ไม่เพิ่มขนาดของตัวเครื่อง



ความละเอียด 1920 x 1290 pixel นี่มันคือความละเอียดเดียวกับ Surface 3 ชัดๆ ใช่แล้วครับ ความละเอียดเดียวกัน แต่หน้าจอเล็กลง 0.3 นิ้ว ก็จะทำให้มี pixel density ที่มากขึ้นไปถึง 220 PPI (ถ้าเป็นทางฝั่ง Apple ก็จะเรียกว่า Retina display)

เป็นที่รู้กันว่าหน้าจอ PixelSense ของ Microsoft นั้นให้สีที่ตรงมาก มีค่า sRGB ที่ใกล้เคียง 100% มากๆ เวลาจะใช้ในงานที่ต้องการให้สีมีความตรงกับความเป็นจริงนั้นก็สามารถใช้ได้เลย ไม่ต้อง Calibrate ใหม่ก่อนใช้ ซึ่งทำให้ Surface Go เป็น Windows laptop ที่มีหน้าจอสวยงามที่สุด ในเรตราคานี้เลยทีเดียว

เพื่อนๆ ที่เคยอ่านบทความของผมเรื่อง Surface Go มาก่อนแล้ว น่าจะทราบว่าตัวผมเองนั้น ชอบอัตราส่วนหน้าจอ 3:2 ของ Surface มากๆ เพราะเป็นอัตราส่วนหน้าจอที่ทำให้ Surface products มีส่วนสูงมากกว่า laptop ทั่วๆ ไปที่มีอัตราส่วนหน้าจอที่ 16:9 อยู่ประมาณนึง อัตราส่วนหน้าจอนี้ผมชอบมากๆ เพราะมันเหมือนสมัยเมื่อสัก 15 ปีก่อนที่อัตราส่วนหน้าจอ laptop จะสูงๆ แบบนี้แหละ แม้ว่าเวลาดู YouTube มันจะมี Black bar แต่เวลาทำงาน Microsoft Office นั้น ถ้าอัตราส่วนหน้าจอเป็น 16:9 แล้ว มันจะมีพื้นที่ให้ทำงานน้อยมากๆ แค่ Ribbon menu ก็กินพื้นที่ไปเกือบหมดแล้ว ทำให้เวลาทำงาน Word/ Excel นั้นเราจะมีมุมมองที่กว้างขึ้น และทำงานได้สบายขึ้นมากเลยครับ

ทรงประสิทธิภาพ ด้วยชิพประมวลผล Intel Core m3 8100Y




สำหรับ Surface Go2 นั้น จะตอบโจทย์คนที่ต้องการใช้ Surface Go เป็นเครื่องหลักมากขึ้น โดยการเพิ่ม option ให้สามารถเลือกใช้ชิพประมวลผล Intel Core m3 8100Y ซึ่ง Microsoft ระบุว่ามีประสิทธิภาพมากกว่าชิพ Pentium Gold 4415Y ในรุ่นที่แล้วมากกว่า 60% เลยทีเดียว

สำหรับชิพ Intel Core m3 8100Y นี้ เป็นชิพยอดนิยมตัวหนึ่งเลยนะครับ เพราะถูกเอาไปใช้ใน Laptop ไซส์เล็กๆ หลายรุ่น และมีเสียงตอบรับที่ดีทีเดียว

สำหรับ Benchmarks เบื้องต้นของทาง Windows Central นั้น พบว่าคะแนนสูงเกือบเป็นสองเท่าของ Surface Go รุ่นที่แล้วเลยทีเดียวครับ นอกจากจะแรงแล้ว ยังควบคุมความร้อนได้ดีอีกด้วย โดยไม่ร้อนมากไปกว่า Surface Go รุ่นที่แล้วเลย

อย่างไรก็ตาม Intel Core m3 8100Y นี้ Intel ขายในราคาสูงกว่า Pentium Gold พอสมควร ซึ่งจะทำให้ Surface Go2 Core m3 ราคาพุ่งขึ้นไปพอสมควรเลยครับ แต่ถ้าใครที่ไม่ได้ใช้งานมากมาย Pentium Gold 4425Y ซึ่งแรงกว่า Pentium Gold 4415Y ใน Surface Go อยู่พอสมควร โดยเฉพาะ integrated graphic ที่ได้รับการอัพเกรดมาเป็น Intel UHD 615 เหมือนกันกับ Intel Core m3 8100Y ด้วย ส่วนตัวผมคิดว่า เป็นออพชั่นที่ไม่เลวเลยทีเดียว

Fast charging แบบเดียวกับ Surface Pro



Surface Go 2 นั้น รองรับ fast charging ที่รวดเร็วมาก แบบเดียวกับรุ่นพี่ๆ ที่สามารถชาร์จจาก 0-80% ได้ในเวลา 1 ชั่วโมง แต่จะต้องหาซื้อสายชาร์จที่ Watt มากขึ้นเพิ่มเติมนะครับ (Microsoft โฆษณาว่า ชาร์จผ่าน Surface Dock 2 แต่เอาจริงๆ แค่ใช้สายชาร์จ Surface Pro ก็ได้ Fast charging แล้วครับ) แน่นอนว่า feature นี้จะช่วยให้ เวลาที่เราใช้งานแอพที่กินไฟเยอะๆ แล้วแบตหมดไว แค่มีเวลาชาร์จไฟเพียงเล็กน้อยก็สามารถใช้ Surface Go 2 ต่อได้ยาวๆ

Real Keyboard และ Precision Trackpad



ขอเขียนเรื่องนี้สั้นๆ แล้วกันนะครับ แม้ว่า Typecover จะอัพเดทแค่สีใหม่ๆ (Poppy Red & Ice Blue) เพราะ Keytboard & Trackpad ของ Surface Go2 นั้นเป็นคีย์บอร์ดที่ออกแบบมาให้ใช้งานได้ยาวๆ มี feeling ในการพิมพ์ที่ดีที่สุดใน Keyboard ของ Laptop ที่มีขนาดเท่าๆ กัน อันนี้ผมยืนยันได้เลย เพราะเคยไปนั่งไล่ลองคีย์บอร์ดที่งาน commart มาแล้วหลายครั้ง

ส่วน Precision trackpad นั้นก็เป็นที่รู้กันว่า การที่ Typecover ของ Surface Go2 มาพร้อม Trackpad ขนาดใหญ่ที่คลุมด้วยกระจกนั้น ช่วยในการใช้งานเป็นอย่างมาก กอปรกับ precision trackpad drivers ที่ออกแบบมาเพื่อ Windows 10 โดยเฉพาะ ทำให้นี่เป็น trackpad ที่ดีที่สุดของ Laptop ที่มีขนาดพอๆ กัน

ณ ปี 2020 นี้ ผมขออนุญาต "ไม่แนะนำ" ให้ซื้อ laptop ที่ไม่ใช้ Precision trackpad drivers แล้วนะครับ... สามารถอ่านความเห็นของผมได้เต็มๆ ที่ >>บทความนี้<<

Best of the best connectivity: LTE Advance, WIFI6 and Bluetooth 5.1



เช่นเดียวกับ Surface Go รุ่นก่อนหน้า Surface Go 2 นั้น รองรับ LTE advance (เฉพาะบางรุ่น) ทั้งในรูปแบบ eSim และแบบใส่ซิม ซึ่งจะช่วยให้เราสามารถเชื่อมต่อ internet ผ่าน Surface Go 2 ได้ ไม่ต้องหวังพึ่ง WIFI ยิ่งสมัยนี้ LTE เป็นที่แพร่หลายและเร็วมากๆ ไม่แพ้ WIFI เลยครับ



การที่ Surface Go 2 รองรับ WIFI6 แบบเดียวกับ Surface Pro 7 ก็เป็นเรื่องที่น่ายินดีเพราะเท่ากับว่า Go 2 รองรับมาตรฐาน WIFI6 ซึ่งเร็วกว่า WIFI5 ไปอีกระดับหนึ่ง เช่นเดียวกับ Bluetooth 5.1 ที่เป็นมาตรฐานใหม่ที่ดีขึ้นกว่า Bluetooth 4.0 เดิมมากๆ

สำหรับรายละเอียดเกี่ยวกับ WIFI6 & Blutooth 5.x นั้น ไว้ผมจะหาเวลามาเขียนอธิบายไว้เป็นบทความของมันเองนะครับ

เชื่อมต่อออกจอ 4K ได้



Surface Go 2 นั้น เมื่อเชื่อมต่อผ่าน USB-C จะสามารถต่ออกจอที่มีความละเอียดได้ถึง 4K จำนวน 1 จอ หรือเชื่อมต่อออกจาก 1080p จำนวน 2 จอ

การต่ออกจอนี่จะช่วยให้ผู้ใช้งาน Surface Go 2 ลดปัญหาที่ว่าหน้าจอเล็กเกินไปสำหรับงานที่ต้องการพื้นที่หน้าจอมากๆ บางประเภท

สร้างมาเพื่อใช้งาน Video chat



ฟีเจอร์สุดท้ายนี้เป็นฟีเจอร์ที่สร้างความโดดเด่นให้กับผลิตภัณฑ์ตระกูล Surface มาสักพักแล้ว นั่นคือ กล้องหน้าและไมโครโฟนที่ยอดเยี่ยม





โดย Surface Go 2 นี้ มาพร้อมกับกล้องหน้าขนาด 5MP ที่รอบรับการถ่ายวีดีโอแชทที่ 1080p นอกจากนี้ Go 2 ยังมาพร้อมกับ Studio microphones ที่จูนมาสำหรับการทำ video chat โดยเฉพาะ ซึ่งทั้งสองอย่างนี้รวมกันแล้ว จะช่วยให้เรามีประสบการณ์ในการพูดคุยกับเพื่อน เพื่อนร่วมงาน และครอบครัวของเราได้อย่างยอดเยี่ยมเลยทีเดียว

เอาล่ะครับ วันนี้คงพอแต่เพียงเท่านี้ ไว้คราวหน้าผมจะพูดถึง performance ของ Surface Go 2 กันนะครับ

Source: Microsoft, Intel, Windows central

Wednesday, 4 March 2020

ก่อนซื้อ Surface Pro X - เช็คว่าแอพที่เราใช้นั้นเป็น 32 bit หรือ 64 bit


การที่ Microsoft ทำตลาด Surface Pro X ที่เป็น Windows 10 on ARM นั้น เหมือนจะเป็นการทำให้ตลาดนี้ถูกปลุกขึ้นมาอย่างหนักหน่วง เพราะ Surface Pro X นั้นมาด้วย form factor ที่น่าใช้งานเป็นอย่างยิ่ง อย่างไรก็ตาม ก่อนที่จะซื้อ Surface Pro X มาใช้งานนั้น ผมแนะนำว่า จะต้องมีการบ้านเยอะๆ เพื่อให้มั่นใจว่า Surface Pro X และ Windows 10 on ARM นั้น ตอบโจทย์การใช้งานของเราจริงๆ

(สามารถอ่านเพิ่มเติมเพื่อทำความรู้จักกับ Surface Pro X ได้ที่นี่
Part 1  Part 2
และสามารถอ่านเพิ่มเติมเพื่อทำความรู้จักกับ Windows 10 on ARM ได้ >> ที่นี่ <<)

ARM Architecture and Backward (x86) Compatibility



เนื่องด้วย ARM เป็นสถาปัตยกรรมที่ต่างไปจาก สถาปัตยกรรม x86 ดั้งเดิม ทำให้ app ต่างๆ ไม่สามารถเรียกหาชุดคำสั่งที่สร้างขึ้นมาเพื่อสถาปัตยกรรม x86 ได้ ทำให้จริงๆ แล้วต้องมีการพัฒนาแอพทั้งหมดใหม่ ซึ่งไม่ใช่เรื่องที่จะสามารถทำให้เกิดขึ้นได้ง่ายๆ เลย แม้ว่าจะเป็นการนำพาจากยักษ์ใหญ่อย่าง Microsoft ก็ตาม เห็นได้จากโปรเจคระบบปฏิบัติการต่างๆ ที่ไม่รองรับ x86 app ของ Microsoft นั้น จบไม่ค่อยสวยสักโปรเจคเดียว ระบบปฏิบัติการที่ไม่มีแอพนั้น ยังไงก็ไปไม่รอดครับ

ทางออกเดียวของ Microsoft ก็คือต้องพยายามให้ระบบปฏฺิบัติการใหม่ของตน (ในที่นี้คือ Windows 10 ARM) สามารถรัน Windows apps ที่มีมากมายอยู่แล้วในปัจจุบัน ให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ เรียกว่า OS ใหม่นี้จะต้อง backward compatible กับแอพเก่าๆ ที่เขียนขึ้นมาเพื่อสถาปัตยกรรม x86 ด้วยนั่นเอง 

การจะรันแอพที่พัฒนามาคนละสถาปัตยกรรมนั้น เป็นไปได้ยากมาก แต่ Microsoft เองก็ได้นำเทคโนโลยี WoW (Windows on Windows) มาสร้าง x86 emulation layer ขึ้นมา ซึ่งตอนแรก Intel ที่เป็นเจ้าของ x86 patent ก็ออกมาขู่ฟ่อๆ ว่าจะฟ้องให้หมดทุกคน แต่ในท้ายที่สุดเข้าใจว่าไม่สามารถฟ้องได้เพราะ Microsoft ก็ได้ดูลู่ทางมาอย่างดีแล้วนั่นเอง

ขึ้นชื่อว่า Emulation แล้ว ยังไงมันก็จะต้องมีปัญหาที่สำคัญคือ ประสิทธิภาพที่ลดลง ทำให้ x86 app ที่รันบน emulation layer ของ Windows 10 ARM นี้ จะมี performance hit ประมาณนึง เมื่อเทียบกับแอพที่พัฒนามารองรับ ARM64 โดยเฉพาะ

X64 app Limitation



อย่างไรก็ตาม x86 emulation layer นี้ จะไม่สามารถใช้กับ x64 app หรือแอพ 64 bit ได้ เนื่องจากปกติแล้ว ไอ้เจ้า x64 app มันก็รันบน WoW อยู่ก่อนแล้วนั่นเอง (หรือไม่ก็พอสร้าง emulator แล้วมันรันได้แย่มากก็เป็นได้)

ดังนั้น หากใครก็ตามที่จำเป็นต้องใช้แอพที่มีเฉพาะรุ่น 64 bit (x64) แล้วล่ะก็ Windows 10 ARM ณ วันนี้ถือว่าไม่ตอบโจทย์ครับ โดยแอพดังๆ ที่มีเฉพาะ 64 bit ก็อย่างเช่น Adobe Lightroom, Adobe Premire Pro, Sony Vegas เป็นต้น

เช็คว่าแอพที่เราใช้นั้นเป็น 32 bit หรือ 64 bit



อย่างไรก็ตาม รายการของแอพที่มีเฉพาะ 64 bit นั้น ไม่มีทางเลยที่จะเขียนบทความให้ตอบโจทย์ผู้ใช้งานทั้งหมด ดังนั้น การตรวจเช็คแอพที่ตนเองใช้ (และยังจำเป็นต้องใช้) ว่าเป็น 32bit/ 64bit จะช่วยให้การตัดสินใจของเราง่ายขึ้นก่อนจะกดซื้อ Surface Pro X กันนะครับ จริงๆ แล้วมันมีหลายวิธี แต่ผมคิดว่าวิธีด้านล่างนี้ชัดเจนที่สุด

หากแอพไหนของเราขึ้นว่าเป็น 64 bit สิ่งที่ต้องทำก่อนถอดใจก็คือ เช็คในเว็บนะครับ ว่ามันมีเวอร์ชั่น 32 bit หรือไม่ เพราะบ่อยครั้งแอพมันมี 2 เวอร์ชั่น แค่เราลงเวอร์ชั่น 64 bit ไว้เท่านั้นเอง

วิธีการนี้ผมปรับปรุงมาจากที่นี่นะครับ: >> Link <<

การเช็คแอพว่าเป็น 32-bit หรือ 64-bit โดยใช้ Task Manager

ก่อนอื่นต้องทำการ run app/ programme ที่ต้องการตรวจสอบนั้นขึ้นมาก่อนนะครับ

จากนั้นคลิกขวาที่ Taskbar แล้วเลือก Task Manager จะเห็นหน้าจอตามนี้ครับ



กดที่ More detail เพื่อให้แสดงผลรายละเอียด จากนั้นกดไปที่แท็บ Details 

ในแท็บ Details ตอนนี้เราจะยังไม่เห็นข้อมูลเรื่อง 32/64 bit นะครับ เราต้องทำการเรียกดูข้อมูลเสียก่อน โดยคลิกขวาที่คอลัมน์ "Name" แล้วเลือก "Select column"


ในหน้าต่างใหม่ที่เปิดขึ้นมานั้น ให้เลือก "Platform" จากนั้นกด "OK"


เพียงเท่านี้ Task Manager ก็จะแสดงผลว่าแอพแต่ละแอพที่เราเปิดขึ้นมานั้นเป็น 32/64 bit



หวังว่าบทความวันนี้จะมีประโยชน์กับทุกคนนะครับ แล้วเจอกันใหม่ ในบทความต่อไป วันนี้ลาไปก่อน เจอปืน สวัสดีครับ